ความแตกต่างการวิจารณ์วรรณกรรมไทยก่อนและหลังรับอิทธิพลตะวันตก
ความหมายของคำว่า
วรรณกรรมวิจารณ์
เป็นการพิจารณาคุณค่าของหนังสือหรือบทประพันธ์โดยชี้ให้เห็นรายละเอียดต่าง
ๆ เกี่ยวกับงานประพันธ์ เพื่อที่จะประเมินค่า หรือ
ชี้ให้เห็นข้อเด่นข้อด้อยว่าเป็นอย่างไร หรือเพราะเหตุใด
นอกจากนี้แล้วการวิจารณ์ก็มีลักษณะที่เป็นกระบวนการและมีขั้นตอนที่ค่อนข้างแน่นอน มีองค์ประกอบ คือ
การวิเคราะห์หารายละเอียดของวรรณกรรม
เช่น การวิเคราะห์องค์ประกอบ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ
การอธิบายให้ความกระจ่างในสิ่งที่ได้วิเคราะห์
เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้จากตัวบทวรรณกรรม การตีความจะช่วยให้เกิดความกระจ่างในวรรณกรรมได้มากขึ้น
การประเมินค่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการวิจารณ์วรรณกรรมและเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะลงความเห็นว่า วรรณกรรมเรื่องนั้นมีความเด่นด้อยอย่างไร
การวิจารณ์วรรณกรรมไทยในอดีตเกิดขึ้นและดำเนินไปพร้อม
ๆ กับการสร้างและการเสพวรรณคดีเช่นเดียวกับการสร้างและเสพวรรณคดีในสังคมต่าง ๆ
ที่มีการสร้างสรรค์วรรณกรรมทั้งในรูปมุขปาฐะและวรรณกรรมลายลักษณ์
ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงวัฒนธรรมในการสร้างและเสพวรรณคดีตามที่ได้กล่าวมาแล้วจึงอาจสรุปให้เห็นถึงลักษณะของการวิจารณ์วรรณกรรมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มดังนี้
การวิจารณ์วรรณกรรมในระดับชาวบ้านมีทั้งวรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะ ผู้สร้างและผู้เสพวรรณกรรมในระดับชาวบ้านมีทั้งในแวดวงของชาวบ้านและชาววัด
อาจกล่าวได้ว่าผู้รับสารในระดับชาวบ้านนั้นมีส่วนในการสร้างสรรค์วรรณกรรมด้วยในกระบวนการสืบทอดวรรณกรรมนั้นอาจมีการดัดแปลงหรือว่าเติมแต่งในส่วนที่ตนเห็นว่ายังไม่ถูกใจ ถือเป็นการวิจารณ์แบบชาวบ้านเพียงแต่ผู้แต่งอาจไม่มีโอกาสรู้เห็นเท่านั้น
ลักษณะการประเมินค่าวรรณกรรมโดยชาวบ้านยังครอบคลุมไปถึงวรรณกรรมลายลักษณ์ด้วยเช่นกัน
ความนิยมในการเสพวรรณกรรมของมหาชนนั้นเป็นพฤติกรรมในการประเมินค่าวรรณกรรมได้อย่างหนึ่ง เป็นกระบวนการสื่อสารทางวรรณกรรมที่ครบวงจร
คือจากมุมมองผู้แต่ง ผู้อ่าน และผู้วิจารณ์
การวิจารณ์ในระดับผู้แต่งหรือกวีด้วยกันเอง
หรืออาจเรียกว่าเป็นการวิจารณ์ในลักษณะอัตวิพากษ์ก็ได้
เป็นการแสดงความเห็นต่องานประพันธ์ในลักษณะที่กวีประเมินค่าผลงานของตัวเอง ซึ่งปรากฏในหมู่ผู้แต่งในระดับชาววังหรือในแวดวงราชสำนัก
ยุคเริ่มต้นของการวิจารณ์วรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษร
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเขียนอันเนื่องมาจากการรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการสร้างสรรค์วรรณกรรมในระยะนี้คือการนำรูปแบบของงานเขียนจากตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ ได้แก่
เรื่องสั้น
นวนิยายและบทละครพูด
หรือที่เรียกกันในช่วงเวลานั้นว่าเรื่องอ่านเล่น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเขียนที่เป็นไปอย่างคึกคักนี้เอง
มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นให้มีการแสดงความเห็นเชิงวิจารณ์ต่อวรรณกรรมในรูปแบบใหม่ ในระยะแรก ๆ นั้นการแสดงความเห็นเชิงวิจารณ์ยังอยู่ในลักษณะของการตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์เล็ก
ๆ น้อย ๆ ต่อวงการประพันธ์ไปมากกว่าตั้งใจให้เป็นบทวิจารณ์ที่แท้จริง แต่เริ่มปรากฏเป็นการวิจารณ์อย่างชัดเจน จนเมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 7
ดังเช่นบทความที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรมประโลมโลก และเรื่องอ่านเล่น โดย ส่ง
เทภาสิต
กับบทวิจารณ์นวนิยายเรื่องละคนแห่งชีวิต
โดยองค์เจ้าจุลจักรพงศ์
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปิดฉากการวิจารณ์วรรณกรรมสมัยใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะและเป็นบทวิจารณ์วรรณกรรมที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
การจัดระบบองค์ความรู้ทางด้านภาษาและวรรณคดีไทยและกระแสต่อต้านวรรณกรรมตะวันตก
ความเคลื่อนไหวของการวิจารณ์อันเนื่องมาจากปัจจัยเหตุในข้อนี้นับว่าได้เป็นผลกระทบที่ส่งเสริมให้มีการศึกษาและวิจารณ์วรรณคดีในช่วงก่อน
พ.ศ. 2475 เป็นอย่างมาก
กระแสความนิยมในวรรณกรรมสมัยใหม่ทำให้เกิดความตื่นตัวให้มีการฟื้นฟูและอนุรักษ์วรรณคดีไทย
ความตื่นตัวด้านหนึ่งมุ่งไปที่การจัดระบบองค์ความรู้ทางวรรณคดีไทยโดยการศึกษาที่มาเชิงประวัติ การสันนิษฐานไปถึงยุคสมัยที่แต่ง รวมไปถึงการตรวจสอบต้นฉบับให้ถูกต้อง ส่วนความตื่นตัวอีกด้านหนึ่งมุ่งไปที่การสกัดกั้นกระแสวรรณกรรมตะวันตก
เพื่อเป็นการสกัดกั้นความนิยมในการใช้ภาษาและสำนวนต่างประเทศในการแต่งหนังสือ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้มีการก่อตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้นมาในปี
พ.ศ. 2475
โดยมีเหตุผลสำคัญคือต้องการอุดหนุนวิชาแต่งหนังสือภาษาไทยให้ดีขึ้น กิจกรรมที่สำคัญของวรรณคดีสโมสร
มีผลต่อพัฒนาการของการวิจารณ์วรรณกรรมไทยอย่างมากก็คือ
การกำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินค่าหรือวินิจฉัยคุณค่าหนังสือที่แต่งดี เพื่อพิจารณาให้รางวัลโดยกำหนดคุณสมบัติของหนังสือที่เห็นว่าแต่งดีว่าจะต้องประกอบด้วย
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 31, 2457 : 309-313)
1. เปนหนังสือดีกล่าวคือ
เป็นเรื่องที่สาธราณชนสมควรอ่านฤๅเป็นเรื่องที่ไม่ชักจูงผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็นแก่นสาร หรือจะชวนให้คิดวุ่นวายไปในทางการเมือง
อันเป็นเครื่องรำคาญแก้รัฐบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้เป็นต้น
2. เปนหนังสือที่แต่งดีโดยใช้วิธีเขียนเรื่องอย่างใดก็ตาม
แต่ต้องเป็นภาษาไทยอันดีถูกต้องตามเนื่องที่ใช้ตามโบราณกาล
ฤๅในปัตยุกาลก็ได้ ไม่ใช่ภาษาซึ่งเลียนแบบจากภาษาต่างประเทศ...
การกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ นับได้ว่าเป็นการสร้างหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการประเมินค่าวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก กล่าวคือในเกณฑ์ข้อที่ 1
ให้ความสำคัญต่อเนื้อหาวรรณกรรม
ส่วนเกณฑ์ข้อที่ 2 เป็นการพิจารณาด้านรูปแบบและการใช้ภาษาในการแต่ง
การวิจารณ์วรรณกรรมยุครับอิทธิพลตะวันตก
พ.ศ. 2476-2490
วรรณกรรมวิจารณ์ของไทยในระยะนี้นับได้ว่าเป็นช่วงของการพัฒนาไปสู่การวิจารณ์ที่เป็นระบบแบบแผนมีลักษณะเป็นสากลมากขึ้น
การวิจารณ์วรรณกรรมซึ่งก่อนหน้านี้ยังคงเป็นรสนิยมสากลที่ยังไม่คุ้นเคยและเป็นที่กระดากกันอยู่มากในหมู่ชาวไทย
กลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อกระบวนการสร้างและเสพวรรณกรรม
การวิจารณ์วรรณกรรมในระยะนี้มาจากความเคลื่อนไหวของนักวิจารณ์สองกลุ่มด้วยกัน
คือกลุ่มแรกเป็นนักวิจารณ์วรรณคดีที่มีความคิดเชิงอนุรักษ์ทางภาษาและวรรณคดี
ซึ่งจะให้ความสนใจศึกษาและวิจารณ์วรรณคดีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักวิจารณ์อีกกลุ่มได้แก่
นักอ่านรุ่นใหม่ซึ่งจะให้ความสนใจศึกษาและวิจารณ์วรรณกรรมร่วมสมัย เช่น
เรื่องสั้น และ นวนิยาย
และทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีแนวนิยมในการวิจารณ์ที่แตกต่างกัน
การวิจารณ์วรรณกรรมยุคอิทธิพลแนวคิดศิลปะเพื่อชีวิต
พ.ศ. 2491-2500 ตั้งแต่ทศวรรษ 2490
เป็นต้นไป
วรรณกรรมวิจารณ์ไม่ใช่ของใหม่สำหรับชาวไทยอีกต่อไป วรรณกรรมวิจารณ์ตั้งแต่ช่วง พ.ศ.
2491-2500 ได้รับการพัฒนาและขยายตัวออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น
พร้อมกันนั้นก็ได้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างและเสพวรรณกรรม การวิจารณ์วรรณกรรมในระยะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการสร้างงานตามแนวทางที่เหมาะสม
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากการวิจารณ์ที่ยึดถือความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสังคมเป็นหลักและเป็นแนวการวิจารณ์ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากตลอดเวลาช่วงตั้งแต่
พ.ศ. 2491-2500
การวิจารณ์วรรณกรรมยุคความเคลื่อนไหวของนักวิจารณ์รุ่นใหม่
พ.ศ. 2501-2519
การวิจารณ์วรรณกรรมของไทยในระยะนี้มีความคึกคักและตื่นตัวมากที่สุด
การวิจารณ์มีความเติบโตทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพในขณะเดียวกันก็มีบทบาทต่อกระบวนการสร้างและเสพวรรณกรรมมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของการวิจารณ์วรรณกรรมในระยะนี้คือในบางช่วงวรรณกรรมวิจารณ์ถูกโน้มนำไปผูกพันกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง
นอกจากนี้แล้วในด้านทฤษฎีและแนวการวิจารณ์ก็ได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก มีการนำเอาแนววิจารณ์ใหม่ ๆ
จากตะวันตกเข้ามาทดลองวิจารณ์วรรณคดีไทย
ซึ่งก่อให้เกิดความเห็นร่วมและขัดแย้งอย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตามหากเปรียบกับทุกยุคที่ผ่านมา คงจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าช่วงปี พ.ศ.
2501-2519 เป็นยุคทองของการวิจารณ์วรรณกรรมของไทย
การวิจารณ์วรรณกรรมยุคการปรับเปลี่ยนแนวคิดทางวรรณกรรม
พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน
การวิจารณ์วรรณกรรมไทยหลังปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา
มีความเปลี่ยนแปลงคลี่คลายไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความเคลื่อนไหว แนวคิด
และระเบียบวิธีการวิจารณ์
การประเมินค่าวรรณกรรม
สถานการณ์ทางการเมืองภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2516
เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์และการวิจารณ์วรรณกรรม
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินซึ่งเข้ายึดอำนาจในวันที่
6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองและทำการกวาดล้างขบวนการฝ่ายซ้ายอย่างกว้างขวาง
ทำให้นักคิดนักเขียนและปัญญาชนกลุ่มใหญ่ต้องหนีภัยทางการเมืองเข้าไปร่วมกับกองทัพคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หรือไม่ก็หลบหนีการจับกุมและหยุดความเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง
ภาวะสถานการณ์เช่นนี้ทำให้บรรยากาศของการวิจารณ์ที่เคยคึกคักมาก่อนต้องตกอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนักชั่วระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา
เมื่อนิตยาสารโลกหนังสือซึ่งเป็นนิตยาสารทางวรรณกรรมได้ถือกำเนิดขึ้นมา บรรยากาศของการวิจารณ์วรรณกรรมก็ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ จึงกล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2523-2525
เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของวรรณกรรมร่วมสมัยของไทย
เนื่องจากได้มีข้อเสนอให้มีการตรวจสอบและทบทวนแนวคิดทางวรรณกรรมครั้งใหญ่
หลังจากที่ตกอยู่ในอิทธิพลของกระแสวรรณกรรมเพื่อชีวิตเป็นเวลานาน ภายหลังปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นไป วรรณกรรมร่วมสมัยของไทยก็มีความหลากหลายทั้งด้านแนวคิด เนื้อหา
และกลวิธีในการแต่งเพิ่มมากขึ้น
และแสดงให้เห็นถึงความมีอิสรเสรีของนักเขียนที่ไม่ถูกครอบงำหรือกำหนดโดยแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง การวิจารณ์วรรณกรรมนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2525
ลักษณะสำคัญของการวิจารณ์วรรณกรรมของนักวิจารณ์ที่เป็นนักวิชาการคือ
ให้ความสนใจในตัวบทวรรณกรรมเช่นเดียวกัน
เพียงแต่วิเคราะห์ตัวบทนั้นได้นำทฤษฎีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ที่ปรากฏเด่นมากก็คือ
การนำเอาทฤษฎีโครงสร้างนิยมของนักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศสมาวิจารณ์วรรณกรรมร่วมสมัยของไทย
สาระสำคัญของการวิจารณ์ตามแนวโครงสร้างนิยมฝรั่งเศสคือ
ความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างในวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง
ๆ นั้น
มีความหมายหรือความสำคัญอยู่ในตัวของมันเองไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง
โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ฉาก บรรยากาศ มิติของเวลา ตัวละคร การใช้มุมมองหรือ
กลวิธีในการเล่าเรื่อง และบางครั้งก็ยังให้ความสนใจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวบทด้วย
เช่น ปกหนังสือ ชื่อเรื่อง
ชื่อผู้แต่ง คำนำ หรือค่านิยมที่นำมาพิมพ์ประกอบหนังสือ
ส่วนวิธีในการวิจารณ์นั้นจะใช้วิธีการอ่านอย่างละเอียดและปราศจากการประเมินค่าดังเช่น การวิจารณ์ตามแนวโครงสร้างนิยมแบบเก่า
จะเห็นได้ว่าแต่ละยุคของการวิจารณ์วรรณคดีมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย
ๆ เมื่อมีการคิดค้นการศึกษาศาสตร์แห่งวรรณคดีมากขึ้น
ก็จะทำให้พบกับแนวทางในการวิจารณ์วรรณคดีที่หลากหลาย การวิจารณ์วรรณคดีในแต่ละยุคทำให้กรอบแนวคิดในการวิจารณ์ ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะศึกษาและเข้าใจตัวบทได้มากขึ้น
แต่ละยุคแต่ละทฤษฎีมีทั้งความเหมือนและความต่างกัน
แต่ทุกยุคทุกสมัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกันเสมอ ทุกศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณคดีทั้งนั้น เช่น
ศาสตร์ทางด้านสังคมที่มีการนำมาใช้ในการศึกษาวรรณคดี ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่นำมาใช้ในการศึกษาผู้เขียน วรรณคดีทำตัวศาสตร์ต่าง ๆ
นั้นมารวมตัวกันเพื่อใช้ในการวิจารณ์วรรณคดีออกมา เราสามารถนำทฤษฎีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในงานได้
การเลือกทฤษฎีให้เหมาะสมกับตัวบทที่เราใช้ ทฤษฎีต่าง ๆ
มีทั้งการศึกษาทั้งภายนอกและภายในของตัววรรณคดี
การที่เราเลือกนำมาประยุกต์ใช้ทำให้เรามองอย่างเป็นระบบและรอบครอบ
เพราะสามารถศึกษาได้ทั้งภายนอกและภายในทำให้เราสามารถวิเคราะห์วรรณคดีได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อก่อนรับอิทธิพลตะวันตกนั้นรูปแบบที่ใช้คือประเภทร้อยกรอง มีการต่อต้านรูปแบบการเขียนของตะวันตก วรรณกรรมไทยสมัยก่อนรับอิทธิพลตะวันตกนั้นมีการหวนกลับไปใช้เหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมา
แต่เมื่อถึงช่วงรับอิทธิพลตะวันตกเข้ามาวรรณกรรมไทยก็เปลี่ยนไป
จากเมื่อก่อนการวิจารณ์ยังไม่เป็นรูปธรรมยังไม่เป็นกรอบทางการที่นำมาใช้ในการวิจารณ์ เมื่อถึงช่วงตะวันตกวรรณกรรมไทยเกิดความคึกคักขึ้นอีกครั้ง
มีนักวิจารณ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและยังมีกรอบมีแนวทางในการวิจารณ์ที่เป็นสากลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมก็เปลี่ยนไป
นักเขียนมีความคิดที่หลากหลายในการเขียนหนังสือที่ซับซ้อนมากขึ้น การวิจารณ์จึงไม่มีความตายตัว แนวคิดต่าง ๆ ที่นักวิจารณ์นำเข้ามานั้นก็คือ
กรอบแนวคิดในการใช้วิจารณ์วรรณกรรมเท่านั้น
ทำให้เกิดแนวคิดที่หลากหลายที่หมุนไปตามสังคมที่ไม่มีความหยุดนิ่ง
ทำให้ได้เห็นทฤษฎีในการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นก้าวหน้าไปเสมอ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า
ความแตกต่างระหว่างก่อนรับอิทธิพลตะวันตกนั้นวรรณกรรมไทยนั้นรูปแบบเขียนเป็นแบบร้อยกรอง
และมีการวิจารณ์แบบมุขปาฐะและทั้งลายลักษณ์อักษร
แต่ไม่ได้เป็นกิจจะลักษณะมากนัก
และการวิจารณ์นั้นส่วนใหญ่ผู้เขียนจะไม่ได้รับรู้สำหรับงานเขียนในกลุ่มชาวบ้าน แต่ระดับชาววังมีการวิจารณ์กันในผู้แต่งด้วยกันเอง
การวิจารณ์ของชาวบ้านก็จะมีการเขียนแก้บทต้นฉบับเมื่อเห็นว่าอันไหนไม่ถูกใจตน
อันไหนไม่ไพเราะก็จะทำการแก้ไข้คำนั้นทันที และเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6
ได้มีการคิดที่จะหวนกลับไปอนุรักษ์แนวเขียนแบบไทยเดิม แต่เมื่อหลังจากการได้รับอิทธิพลตะวันตกนั้นทำให้การวิจารณ์เป็นสากลมากขึ้น
มีกรอบในการคิดที่หลากหลายในการวิจารณ์และเริ่มที่จะมีการวิจารณ์อย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
มีทั้งมุมมองในการวิจารณ์ที่หลากหลายมีการใช้ทฤษฎีที่รับมาจากอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น
เพื่อเป็นกรอบแนวคิดว่าจะศึกษาตัวบททั้งตัวต้นฉบับและสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
อ้างอิง
ธัญญา สังขพันธานนท์.2539.วรรณกรรมวิจารณ์.กรุงเพทฯ
: นาคร
อิงอร สุพันธุ์วณิช.2547.วรรณกรรมวิจารณ์.กรุงเทพฯ
: บริษัทแอคทีฟพริ้นท์จำกัด
นางสาวรติรัตน์ ปานฤทธิ์ รหัส 021 หมู่1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาไทย ปี 3