วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือ เรื่อง ในโลกแคบ ของ ทัศนาวดี



รีวิวหนังสือ เรื่อง ในโลกแคบ

รีวิวหนังสือ เรื่อง ในโลกแคบ



ชื่อเรื่อง                   ในโลกแคบ
ผู้แต่ง                      ทัศนาวดี
สำนักพิมพ์             น้ำหวาน

   
             หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อาจจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม  แต่ว่าเนื้อหาของเรื่องแทบจะไม่แตกต่างกันเลยกับยุคสมัยนี้   ทุกปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในเรื่องนี้ ก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่เช่นเดิม   ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากเวลา

                ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้  ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยกลับสมัยก่อนที่ผ่านมา  เพียงแต่ปัญหามันยิ่งผูกกันเป็นปมใหญ่ขึ้น ๆ คนที่ถูกเอาเปรียบก็เหมือนเดิม  อำนาจใดเล่าจะสู้อำนาจเงินได้   มีเงินจะทำอะไรก็ทำได้ อยากได้อะไรก็ต้องได้ส่วนอีกหลายชีวิตที่ต่อสู้ พยายามดิ้นรนเพื่อมุ่งสู่การศึกษาอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็ศูนย์เปล่าทุกสิ่งเอาชนะเงินไม่ได้   แถมมีแต่แย่ลง ๆ มากกว่าแต่ก่อนเสียอีก

                เราอาจจะยึดติดกับสังคมมากเกินไป ยึดติดกับค่านิยมมากเกินไป  และคนส่วนใหญ่มองตัวเราไม่ได้มองที่ตัวของเรา  แต่มองตัวเราในมุมของเขาเสียมากกว่า  คนเราให้ค่ากับสิ่งอื่นมากกว่าตัวของเราเอง   เราสร้างภาพได้ให้คนอื่นมองเราในแง่ดี  มองแค่เปลือก  เราจึงมีโลกแคบ ๆ ของตัวเอง เพื่อมองตัวเองอยากเข้าใจ และรับได้ในแบบที่ตัวเราเป็น

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ที่มิเหมือนแม้นอันใดเลย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ที่มิเหมือนแม้นอันใดเลย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้สื่อถึงความรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยเลย ทั้งเสียใจ ทั้งสิ้นหวัง และตอกย้ำตัวเอง  ที่หลงไปกับมายาต่าง ๆ จนทำให้รู้สึกว่าชีวิตเจอความผิดพลาดอย่างหนัก จนตัวเองนั้นมีแต่ความชอกช้ำ  และสุดท้ายก็ไม่เหลือใครเลยนอกจากตัวเอง 

                ฉันเข้าใจในความรู้สึกของตัวละครของเรื่องที่ชื่อว่าหลิว  มันเป็นเรื่องปกติที่ชีวิตคนเราจะมีความผิดพลาดกันได้  เดินผิดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งชีวิตเราจะพลาดมันซ้ำ ๆ เสมอไป  ฉันเชื่อว่าคนหลายคนเคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่โทษตัวเองที่หลงไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำ   แต่ถ้ามองกลับกัน ที่เราทำลงไปทั้งหมด  สิ่งผิดพลาดเหล่านั้นมันก็คือประสบการณ์อย่างหนึ่งของเราเอง   ไม่ใช่ว่าเราไม่เหลือใครในชีวิตของเรา  เราเหลือตัวเราเองที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราต่างหาก   เพราะชีวิตของเราจะขึ้นหรือลงมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คนอื่นไปซะหมด แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองมาที่สุดต่างหาก

                ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะเสียใจ เสียดายกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาก็ตาม  แต่เราก็เลือกที่จะทำสิ่งเหล่านั้นด้วยความซื่ออันบริสุทธิ์ของใจไม่ใช่เหรอ   อย่าโทษอดีตที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้  แต่จงยอมรับและขอบคุณมันแทน  เพราะมันได้สอนให้เรารู้จักประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเจอมันอยู่ดี  มันคงไม่แย่เท่าไหร่ถ้าเราต้องเจอก่อนคนอื่น แต่มันก็ยังดีที่เรายังเจอมันเร็วกว่าคนอื่น  เพราะเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ครั้งนี้ก่อนคนอื่นทำให้เราได้บทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต เพื่อจะได้เตือนตัวเอง ไม่เดินพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง

รีวิวหนังสือ เรื่องบ้านหนังสือในหัวใจ ของ ไพลิน รุ้งรัตน์



รีวิวหนังสือ เรื่องบ้านหนังสือในหัวใจ

รีวิวหนังสือ เรื่องบ้านหนังสือในหัวใจ


ชื่อเรื่อง                   บ้านหนังสือในหัวใจ
ผู้แต่ง                      ไพลิน   รุ้งรัตน์
สำนักพิมพ์             คมบาง

                
               หนังสือเล่มนี้เป็นแนวสารคดีเกี่ยวกับชีวิตที่ผูกติดกับหนังสือของผู้แต่งเอง   ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของตนเองในวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับหนังสืออยู่ตลอดเวลา ที่เริ่มมีการอ่านหนังสือหลายหลายแนวมากยิ่งขึ้นเมื่อผู้แต่งได้เติบโตขึ้นทีละเล็กที่ละน้อย   ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหนังสือแต่ละเล่มที่เธอได้อ่านนั้นเปรียบเสมือนการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในสังคมได้มากขึ้น  
                
               ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นความเป็นจริงของโลกหนังสือที่มีความเกี่ยวข้องกับสังคมโดยตรง   และทำให้เห็นว่าหนังสือนั้นก็เป็นการหล่อหลอมในการสร้างคนขึ้นมาเหมือนกัน   เมื่อได้อ่านหนังสือแต่ละเล่ม  ความรู้สึกของเราก็เริ่มเปลี่ยนไป เห็นโลกได้ชัดขึ้น   หนังสือทำให้เราเห็นคนในหลาย ๆ ด้าน เช่น บางคนอาจจะชอบหนังสือที่สะท้อนสังคมได้อย่างเจ็บแสบ บางคนอาจจะอยากหนีความจริงของสังคมที่โหดร้าย เพื่อไปพักใจกับหนังสือที่เข้ามาเติมเต็มความสุขในชีวิตของตนได้  ทำให้เราเห็นยุคสมัยต่าง ๆ ในชีวิตของผู้เขียนเองที่ได้เดินทางผ่านช่วงวันเวลามาเรื่อย ๆ ได้อย่างละเอียดและน่าสนใจมาก

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เปื้อนรอยเสน่หา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “เปื้อนรอยเสน่หา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้ฉันรู้สึกว่ามันมีความอีโรติกอยู่นิด ๆ เพราะว่ามันพูดถึงในทำนองที่ว่าผู้หญิงเมื่อได้ออกมาสู่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่  มักจะรู้ไม่ทันผู้ชายสักเท่าไหร่เพราะความซื่อ ที่อาจจะทำให้ถูกหลอกให้รัก ผู้หญิงรักผู้ชายด้วยความรู้สึก แต่ผู้ชายบางคนก็ตอบสนองผู้หญิงด้วยความใคร่  ความปรารถนาที่เสน่หา   เพราะว่าค่านิยมของไทยเราถูกปลูกฝังมาว่าผู้หญิงนั้นควรเก็บความบริสุทธิ์ทางร่างกายไว้ให้กับผู้ชายที่ตนรัก  ต้องรอจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน   มันจึงทำให้ผู้ชายหรือผู้หญิงบางคน ให้ค่าของผู้หญิงเพียงแค่เยื่อพรหมจรรย์   มากกว่านิสัยใจคอ และเมื่อผู้หญิงได้เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว  มันจึงเป็นความกลัวที่จะคบคนใหม่  เพราะว่ากลัวว่าเขาจะรู้ว่าเคยมีคนรักมาก่อนหน้านี้  

                ฉันคิดว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด และเป็นการลดคุณค่าของผู้หญิงลงไป  ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เยื้อพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่เปราะบางมาก ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็สามารถขาดได้ เช่นในกรณีที่เล่นกีฬาที่มีการใช้ความยืดหยุ่นของร่างกาย เป็นต้น

                ฉันคิดว่ามันคงจะไม่ยุติธรรมเท่าไหร่  ถ้าเรามองแค่เพียงจุดเล็ก ๆ กันแค่จุดนี้ เพื่อเป็นตัววัดว่าผู้หญิงคนไหนดี คนไหนไม่ดี   สิ่งที่เราควรมองกันให้มากและนานที่สุด มันน่าจะเป็นจิตใจเสียมากกว่า  คนเราเข้ากันได้ไม่ได้ไม่ใช่เพราะเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นตัววัดอย่างเดียว   เราควรจะสอนเด็กเรื่องผลเสียของการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเสียมากกว่าที่จะปลูกฝังให้เชื่อในสิ่งนี้  

เพราะผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้อยากจะมีใครมากกว่าคนที่เราคบอยู่ในตอนนี้   แต่ว่าถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนนั้นถูกหลอกให้รัก หลงในคารมของผู้ชาย  จนทำให้เกิดความสัมพันธ์นั้นขึ้นเพราะคำว่าเราเป็นแฟนกันนะ ไม่ไว้ใจกันเหรอ หรืออะไรต่าง ๆ อีกมากมาย  เพียงเพื่อหวังที่จะเป็นคนแรกของผู้หญิง  ถ้าเกิดมันเป็นแบบนี้  มันจะไม่ดูโหดร้ายกับผู้หญิงไปสักหน่อยเหรอ  

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เธอ-ฉัน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “เธอ-ฉัน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้เห็นความรู้สึกอ่อนไหวในจิตใจของผู้แต่งได้อย่างชันเจน   มันเป็นอารมณ์ที่แสนเศร้ามาก   เหมือนกับว่าเราได้สูญเสียสิ่งที่เราเคยมอบให้ใครบ้างคนด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์  ให้เขาไปทั้งหมดที่เรามี   แต่ว่าสุดท้ายมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า   เราได้แต่พยายามทำใจของตัวเองให้เคยชิน  ปลอบตัวเองให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ยอมรับมันให้ได้  

                ฉันคิดว่าความรู้สึกของคนเราเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากที่สุด   ยิ่งกับคนที่เรารัก เราเชื่อใจ เราไว้ใจ มันก็จะยิ่งทวีคูณความรู้สึกทั้งหมดที่เรามีเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วมอบมันให้ได้แค่เขาคนเดียว   ความรักเมื่อตอนแรกแย้มบานมันก็มีความสุข และสุขมากกว่าที่เคยมีมาในชั่วชีวิตของเรา   มันทั้งหอมหวานน่าชิมรส   แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปสิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะอยู่กับเราได้ไปตลอด  คนเรามีหลายเหตุผลที่ต้องเลิกกันไป   เราไม่สามารถเอาอะไรมายึดมั่นถือมั่นได้ว่ามันจะคงอยู่แบบนี้ตลอดไป   ถ้าจะเปรียบความรักเหมือนน้ำตาลก็น่าจะถูก  ครั้งแรกที่เราได้ชิมน้ำตาลมันทั้งหอมทั้งหวาน  แต่เมื่อเราชิมความหวานไปมาก ๆ ยิ่งมากเข้า ๆ มันก็ยิ่งขม  มันก็ไม่ต่างจากชีวิตของคนเราที่วันหนึ่งความสุขที่เราเคยมีครั้งแรก ๆ จะเปลี่ยนไปเป็นความขมในครั้งหลัง

ตีความ ชื่อบทกวี “ลอยรัก” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ลอยรัก” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้เป็นบทที่คนอารมณ์อกหักมาลอยกระทงอยู่ท่ามกล้างวันลอยกระทงที่ครึกครื้น    คนอื่นอาจจะลอยด้วยความสุข ที่ได้มาเป็นคู่  แต่ว่ามีเพียงตัวเราที่ลอยเอาความทุกข์ออกไปจากใจของเรา  ลอยตัวเองในวันเก่าเพื่อเป็นตัวเองในวันใหม่

                ในบทนี้นอกจากความเศร้าของตัวเอกที่ลอยกระทงแล้ว  ฉันยังเห็นความมุ่งมันบางอย่างที่ออกมาจากความรู้สึกเศร้าเสียใจนี้ก็คือ  การเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน  บอกลาตัวเองที่จะเป็นเหยื่อของสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาเล่นตลกร้ายกับชีวิตของเรา   เป็นการเตือนตัวเองไม่ให้กลับไปเป็นคนที่ถูกใครมาเล่นกับความรู้สึกได้ง่าย ๆ อีก  ทำให้เห็นพลังที่เข้มแข็งได้อย่างชัดเจน   ทุกความอ่อนแอของตัวเราเองนั้น มักจะแรงกระตุ้นให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ได้สวยงามแบบที่คิด แต่มันคือความจริงของโลกนี้ที่เราต้องเจอ แล้วสักวันหนึ่งเราจะเป็นผู้เข้มแข็งที่พร้อมจะต่อสู้ทุกอย่างกับโลกใบนี้ได้


วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “กลางทะเลอารมณ์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “กลางทะเลอารมณ์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้ทำให้เห็นถึงความอาลัยอาวรณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องจากไป  ทั้งความรัก ความทรงจำครั้งหนึ่งที่แสนดี เพราะต่อแต่นี้ไป สิ่งเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว  เพราะเราทนกับการที่ต้องแกล้งรู้สึกแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว 

                สิ่งที่ทำได้ยากที่สุดในชีวิตของคนเรานั้น  ไม่ใช่การที่แสร้งทำไปตามบทที่ใคร ๆ อยากให้เราเป็น  เพื่อให้เขายอมรับในตัวเรา   แต่ว่ามันคือการที่เราไม่ยอมรับในความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า  เราหลอกตัวเอง  หลอกความรู้สึกตัวเอง เพื่อให้ใครก็ไม่รู้ในโลกกว้างได้ยอมรับกับตัวเรา  ต้องเดินตามในสิ่งที่คนเหล่านี้อยากให้เราเป็น  เราพยายามฝืนตัวเองให้เป็นตามที่ใคร ๆ ต้องการ  แต่ทำไมเราถึงไม่ทำให้คนอื่นยอมรับในแบบที่เราเป็นมากกว่าการแสร้งทำล่ะ

                การที่เราเป็นในแบบที่ใคร ๆ ต้องการ ทำก็ต้องปกปิดความรู้สึก ปกปิดตัวตนของเราเพื่อให้คนอื่นยอมรับ  เพื่อไม่เป็นแกะดำในฝูง ฉันคิดว่าถ้าการที่เราคิดแบบนี้เราจะเหนื่อยเปล่าเสียมากกว่า เพราะไม่มีใครที่ทำอะไรโดยไม่เป็นตัวของตัวเองได้ตลอดไปหรอก การที่เราพยายามทำให้คนหลายคนที่เขาไม่ได้คิดและแคร์ความรู้สึกของเราจริง ๆ ให้ยอมรับเรา  ในสิ่งที่เราแกล้งทำมากกว่าสิ่งที่เราเป็น   มันไม่อาจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้เลยถ้าเกิดพวกเขายอมรับเราแบบนั้น  เป็นเราเสียเองที่จะเหนื่อยไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำเพื่อพวกเขา

                ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่าตัวของเราเอง  ไม่มีใครแคร์เรา รักเราได้มากเท่ากับเรารักตัวเอง  ถ้าในการที่เรายังไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น เราทำทุกอย่างในแบบที่ไม่ใช่ตัวเองให้คนอื่นพอใจ มันเหมือนกับว่าเราลดค่าของตัวเราเอง เอาตัวเองไปผูกติดกับความคิด ความรู้สึกของคนอื่น  คนที่เราไม่รู้ว่า วันนี้เขาจะมาดีหรือร้าย ถ้าวันหนึ่งคนเหล่านี้หายไป สุดท้ายเราก็เหลือแค่ตัวเองอยู่ดี   เราควรที่จะเป็นตัวเองในแบบของเราที่ทำให้ใคร ๆ ต่างยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  โดยไม่ต้องสนใจว่าจะถูกใครเกลียด  ถ้าเกิดสิ่งนั้นเราคิดว่าเราถูก  เราทำแล้วไม่เดือดร้อนใครเราก็ทำ   ถ้ามันส่งผลดีต่อตัวเราเราก็ทำ  ไม่มีใครจะหวังดีกับเราเท่ากับตัวเราเอง  แล้วสักวันจะมีคนเข้าใจในแบบที่เราเป็น  ยอมรับเราในสิ่งที่เราเป็น  โดยที่เราไม่ต้องเป็นไปอย่างที่เขาอยากให้เราเป็นให้เหนื่อยเลย


ตีความ ชื่อบทกวี “ลาจาก” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ลาจาก” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้เป็นการปล่อยความรู้สึกต่าง ๆ ที่อัดอั้นมานานอย่างไม่สนใจอะไรอีกเลย ถึงแม้รู้ว่าการเดินออกมาแบบนี้จะต้องมีคนหัวเราะเยาะ หรือนินทาว่าร้ายต่าง ๆ ก็ตาม  แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะว่าชินกับการกระทำเหล่านั้นอยู่แล้ว

                ฉันคิดว่าการที่เราบอกว่าชินกับอะไรสักอย่างก็ตาม  นั้นหมายความว่าเราได้รับการกระทำแบบนั้นอยู่บ่อย ๆ จนทำเคยชินกับสิ่งเหล่านั้นไป  ฉันว่าคำนี้มันก็เป็นคำที่หดหู่อยู่ในความหมายของตัวมันเอง  มันเหมือนเป็นคำที่พูดปลอบใจตัวเองมากกว่าจะแสดงถึงความเข้มแข็ง  เพราะมันเป็นการที่เรายอมรับว่าเราโดนมันทำร้ายเสียจนเราชินไปเสียแล้ว   จนสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยโดนไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเราได้อีก เพราะเราได้ชินกับมันไปแล้ว  

                แต่ระหว่างทางเรารู้ดี  กว่าที่เราจะใช้คำว่าชิน มันย่อมส่งผลเสียต่อจิตใจของเราอยู่ไม่น้อยเลย  สิ่งที่ช่วยให้เราเข้มแข็งเป็นสิ่งแรกเลยก็คือเวลา  เวลาสอนให้เรารู้ว่า ตอนนี้วันนี้เรารู้สึกมาก  เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกเสียใจแบบนี้กับเหตุการณ์ที่เข้ามาทักทายใจชีวิต  เมื่อพรุ่งนี้มาถึง เราก็ยังเจ็บอยู่ แต่ก็อาจจะเทียบเท่ากับเมื่อวาน หรืออาจจะเบาบางลงบ้างแต่ยังรู้สึกอยู่  แต่เมื่อวันต่อ ๆ ไปเราต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เราเริ่มชิน เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เราก็จะรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ไปโดยปริยาย จนเกิดความเคยชินขึ้นมา   สำหรับฉันคำว่าชินมันไม่ใช่ความหมายที่ดีเสียเท่าไหร่  เพราะมันย้ำเตือนเราเสมอว่าเราผ่านอะไรมา แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็งจริง ๆ นั้น มันคือเวลาที่เดินไปแบบไม่หยุดนิ่งเสียมากกว่า

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ที่สุดของความอดทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ที่สุดของความอดทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ในบทกลอนบทนี้แสดงถึงที่สุดของความอดทน  คือหมดทุกคำพูด หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะไปต่อได้แล้ว  สู้ไม่ไหวแล้ว  จึงขอออกมาจากจุดนี้ดีกว่า  ฉันคิดว่าการตัดสินใจที่จะออกมาจากจุดจุหนึ่งซึ่งเราพยายามกับมันมากเกินพอแล้ว  พยายามจนเราไม่เป็นตัวของตัวเอง  พยายามจนเราสูญเสียความสุขไปกับการทำงานในแต่ละวัน 

                ซึ่งการที่เราพยายามอะไรจนมากเกินไป  จนเราสูญเสียความเป็นตัวเอง  สูญเสียความสุขในชีวิตทั้ง ๆ ที่มันควรจะมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป  แต่ถ้ามีแต่ความทุกข์เข้ามา  เราก็ควรที่จะยอมรับความจริงให้ได้  ยอมรับในการตัดสินใจของตนเอง  อะไรที่มันเกิดจากการฝืนตัวเอง  มันไม่มีสิ่งไหนที่จะส่งผลดีต่อตัวเราเลยทั้งกายและใจ

                คำว่าความอดทน กับคำว่าฝืน ฉันว่ามันต่างกัน  ความอดทนคือการที่เราพยายามที่จะเอาชนะสิ่งต่าง ๆ ไปให้ได้  มันจึงมีแรงผลักดันที่ทำให้กระตุ้นตัวเราเองให้พัฒนาต่อไป ให้ก้าวไปข้างหน้า  มันจึงเป็นการขับเคลื่อนด้วยพลังบวก ด้วยแรงกระตุ้น   กล้าที่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิม กล้าลองอะไรใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาใจชีวิต แต่ถ้าเราใช้คำว่าฝืน  นั้นก็หมายความว่าเรารู้ตัวเองดีแล้วว่าเราทำได้แค่นี้  เราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้แล้ว  เราไม่อยากจะทำมันอีก แต่เราจำเป็นต้องฝืนความรู้สึกของตัวเองที่จะทำมันต่อไป  ซึ่งถ้าการใช้คำว่าฝืน มันก็คือด้านลบ ที่บอกว่าด้านลบเพราะว่าเราไม่มีแรงจะสู้มันต่อไปแล้วต่างหาก เรารู้ตัวเองดีว่าเราไม่ไหวจริง ๆ เราอยู่กับมันไม่ได้  ถ้าเกิดว่าเราได้เดินทางมาถึงความรู้สึกนี้แล้ว  มันจะจึงเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่เราจะเลิกฝืนตัวเอง  และเปิดรับสิ่งใหม่ที่เราชอบ เราสนใจ และเราสามารถเป็นตัวเราได้อย่างเต็มที่  ฉันคิดว่าถ้าเกิดว่าใจเราต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ ชอบสิ่งนั้นจริง ๆ ไม่ว่าอุปสรรคข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็สามารถผ่านมันไปได้โดยที่เราไม่ต้องฝืนความรู้สึกของตนเองเลย

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “อาจจะไป” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “อาจจะไป” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ในบทนี้ฉันรู้สึกว่าเป็นบทที่อยากจะไปจากตรงนี้ แต่ว่ายังติดที่เรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่  ซึ่งก็หมายความว่าตอนนี้เรายังทนได้อยู่  เรายังรับสิ่งเหล่านี้ได้อยู่   ถ้าเกิดว่าฉันจะเปรียบบทนี้กับเรื่องของความรัก   ฉันคิดว่ามันก็คงเป็นปกติของช่วงชีวิตคนเรา  ที่อยากจะหนีไปจากคนคนหนึ่งเสียให้พ้น  แต่มันก็ติดที่เรายังมีความรู้สึกให้เขาอยู่นั่นเอง  สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่อดทนเข้าไว้  ข่มใจตัวเองเข้าไว้

                ฉันคิดว่าการที่เราคิดไว้ล่วงหน้าว่าเราจะไปจากจุด ๆ นี้ให้เร็วที่สุด  แต่เคยรู้สึกไหมว่าแล้วทำไมเราไม่ไปเลยล่ะ เรายังทนอยู่และยังหาเหตุผลว่าเรายังไม่สามารถไปได้  เพราะมันคือความรับผิดชอบของเรา  มันคือหน้าที่เรา  มันคือสิ่งที่เราต้องทำ  ฉันว่ามันดูย้อนแย้งเกินไปกับคำว่า ไป เพราะสิ่งที่เราคิดอยู่คือการคิดที่จะอยู่กับมันเสียมากกว่า

                ถ้าเราอยากจะไปจริง ๆ เราไม่ไหวจริง ๆ  เราไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรเลยเพื่อที่จะทนและอยู่กับมันต่อไป   แต่เป็นเพราะว่าเรายังให้โอกาส โอกาสในที่นี้คือ ทั้งกับตัวเอง และกับคนอื่น  และหวังว่ามันจะดีขึ้น  แต่ถ้าวันใดความอดทนเราหมดลงจริง ๆ   เราก็คงไปอย่างที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีอะไรจะทำให้เราอยู่ต่อไปได้  และไม่มีคำร่ำลาใด ๆ นอกจากการหายไปอย่างที่ไม่มีสัญญาณเตือนหรือเสียงใด ๆ บอกกล่าวล่วงหน้าอีกเลย นอกจากความเงียบ

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “น้ำตาคลอ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “น้ำตาคลอ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ในบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการนึกถึงอดีตในวันวานที่มีความสุข  แต่แล้วเมื่อมาถึงปัจจุบันนั้นมีแต่ความทุกข์ที่เกิดจากความท้อแท้ของตัวเอง   ฉันคิดว่าถ้าเปรียบความรู้สึกของผู้แต่งกับข้าวในนานั้น   เมื่อก่อนเคยวาดฝันไว้ได้สวยสดงดงามเหมือนข้าวในนา  แต่ว่าตอนนี้ชีวิตของผู้แต่งได้มาเผชิญกับความท้อแท้  จึงทำให้ข้าวนั้นไม่สวยเหมือนเมื่อก่อน

                แต่ว่าฉันกับคิดกลับกัน   ข้าวในนาไม่ได้สวยงามตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  กว่าที่เราจะได้ข้าวที่สวยงามได้  ต้นข้าวก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายเหมือนกัน   ทั้งแมลง ทั้งสภาพอากาศ  แต่ละสิ่งเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ทั้งนั้น  เราไม่สามารถห้ามสิ่งเหล่านี้ได้   แต่เราบังคับตัวเราเองได้   เมื่อเราสามารถอดทนกับมันไปได้  เราก็จะได้เป็นต้นข้าวที่สวยงามและสมบูรณ์   ถึงแม้จะไม่สวยที่สุด  แต่ก็เป็นต้นข้าวที่สวยที่สุดสำหรับตัวเราเอง  

                เมื่อเราพบกับปัญหาต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต มันมีแค่สองทางให้เลือก ระหว่างยอมแพ้กับไปต่อ  ถ้าเลือกยอม ก็เท่ากับเราเลือกที่จะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น   และมันก็จะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อเราเจอปัญหาใหม่ ๆ ที่เข้ามาทักทาย   แต่ถ้าเราเลือกที่จะสู้เราก็จะได้เติบโตในแบบของเรา   ยิ่งเรากร้านโลกมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นตัวการรันตีในความมุ่งมั่นอดทนของตัวเราเอง   ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่มีบาดแผล  เพียงแต่เราจะรักษาให้มันเป็นแผลเป็นเพื่อเตือนความจำว่าเราผ่านมันมาแล้ว  หรือจะปล่อยให้มันเป็นแผลสดโดยไม่มีวันหาย

ตีความ ชื่อบทกวี “ดอกไม้ไม่อยากบาน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ดอกไม้ไม่อยากบาน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ตอนนี้จะเป็นเรื่องความอดทนที่มีต่องาน   ฉันคิดว่าไม่มีงานไหนเลยที่จะไม่เหนื่อย   ไม่มีงานไหนเลยที่จะไม่ต้องอดทน   และบางทีอาจจะทำให้เราท้อจนหมดเรี่ยวแรงในการทำงาน   โลกของการทำงานนั้นมันต่างจากโลกของวันเรียนอย่างมาก   เพราะวัยทำงานเราต้องทนกับแรงกดดันที่สูงมาก   ทั้งเพื่อน ทั้งเจ้านาย และอะไรอีกมากมาย  

                แต่ฉันคิดว่าทุกอย่างเหล่านี้มันก็คือความท้าทายของชีวิตเหมือนกัน   ยิ่งงานที่เราต้องใช้ความอดทนกับมันมากเท่าไหร่  เมื่อเราผ่านมันไปได้มันก็ถือว่าเราเอาชนะตัวเราเองได้   ยิ่งยากเท่าไหร่เมื่อเราผ่านไปได้เราก็จะยิ่งมีความภูมิใจในตนเองมากขึ้น   ทุกอย่างนั้นมันมีสองด้าน  ความรู้สึกของคนเราก็เช่นกัน  ด้านตรงข้ามกับความท้อแท้ก็คือพลัง   ถ้าเราเอาความท้อ ความเหนื่อย ความอดทน เอาทุกอย่างมารวมกันแล้วทำให้มันเป็นพลังให้กับตัวเอง  ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะผ่านได้ด้วยดีแน่นอน  ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่มันก็ดีที่สุดที่เราทำ  ไม่มีอะไรจะน่าภูมิใจไปกว่าการที่เราเอาชนะใจตัวเองได้หรอก 

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนนี้ทำให้เห็นว่าบางทีคนนั้นก็มักจะมองคนในแบบที่ไม่ใช่คน   ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คนหนึ่งมองว่าตัวเองคือคน แต่มองว่าอีกฝ่ายนั้นเหมือนเครื่องจักรที่ต้องทำงานอย่างหนักโดยไม่มีความผิดพลาด ไม่ต้องหยุดไม่ต้องพัก หรือแม้กระทั้งความรู้สึกใด ๆ ก็ตาม  

                ฉันคิดว่าในบทกลอนนี้เราสามารถมองมันได้ทั้งช่วงชีวิตในวัยเรียนและช่วงชีวิตในวัยทำงาน   เพราะว่าคนเรามีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น   หวังเอาความสบายมากกว่าการทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ  เช่น   ถ้าเกิดว่ามองในมุมของวัยเรียน   ก็จะมีคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเป็นคนที่แบกรับงานทุกอย่างไว้   โดยที่มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หวังผลกับการทำงานของเรา  โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากนัก  แต่เขาก็ได้คะแนนเท่าเรา   และถ้ามองในมุมวัยทำงาน  บางคนอาจจะเจอรุ่นพี่ที่ไม่ดี  หรือหัวหน้าที่ไม่ดี  ในการที่ใช้งานและกดขี่เราให้ทำงานอย่างหนัก   ซึ่งถ้าเป็นงานของตัวเองโดยแท้จริง เราก็สบายใจที่จะทำมันอย่างเต็มที่  แต่หากว่างานนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องทำ   เราก็คงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เมื่อเราโดนเขากดขี่แบบนั้นบ่อย ๆ เพราะว่าเราก็เป็นมนุษย์ทั่วไปสามัญ ที่ต้องการวันหยุดพักบ้าง ต้องการทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่และดีที่สุด   เราทำงานเพื่อแลกกับเงินที่เราควรจะได้รับตามความสามารถของเรา  แต่เรากลับต้องมาโดนใช้งานโดยที่ไม่ได้รับมอบหมายให้ทำ   ในขณะที่เรามีความรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานที่เราทำ เราก็อยากที่จะมีเวลาผ่อนคลายเพื่อกลับเข้ามาลุยงานของเราต่อไป   เพราะว่าคนทุกคนต้องการที่จะหาความสุขใส่ตัวบ้าง   ไม่ว่าใครก็อยากมีเวลาส่วนตัวกันทั้งนั้น   และอีกอย่างที่สำคัญคือ มันดูจะไม่ยุติธรรมเลย  ถ้าการที่เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนอีกหนึ่งคนสบาย   โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

                ฉันคิดว่าคงไม่มีใครที่อยากโดนเอาเปรียบและคงไม่มีใครที่สามารถจะทนกับสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดเวลา   ตอนแรกก็อาจจะทนได้ แต่เมื่อโดนนาน ๆ เข้า จนแทบจะไม่มีเวลาพักหายใจเลย  มันก็คงจะต้องระเบิดออกมาสักวันหนึ่ง   แต่ถ้าเราอยากจะแสดงความมีน้ำใจในการช่วยงานเขาก็ได้ แต่ว่าก็ไม่ใช่ทุกครั้งเสมอไป   ไม่มีใครที่อยากโดนเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา  มันคงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าเกิดมีใครมองข้ามความรู้สึกของเราไป  และคิดว่าเรานั้นเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่ทำงานตามระบบโดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ ถ้าเกิดจะมองแบบนั้นก็อาจจะไม่ถูกทั้งหมด  เพราะขนาดเครื่องจักรเมื่อโดนใช้ไปนาน ๆมันยังสึกยังกร่อนได้  แล้วนับประสาอะไรกับคนเราที่มีชีวิตจิตใจที่จะอยู่ยงคงกระพัน   โดยที่ไม่ต้องบำรุงรักษาร่างกายและจิตใจเลย
               

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เจ้าหญิงนิทรา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “เจ้าหญิงนิทรา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนบทนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าหนึ่งวันที่เรามีชีวิตอยู่  สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเรามักจะมีความรู้สึกและมีเรื่องให้พบเจอไม่ต่างกัน   ถึงแม้ว่าในปัจจุบันอาจจะทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่  บางคนอาจจะเศร้าเสียใจ หรือรู้สึกอะไรก็ตาม  แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้รับในตอนนี้   ที่เราทุกข์ทรมานในวันนี้   มันอาจจะจางลงหรือหนักขึ้นก็เป็นเรื่องของพรุ่งนี้   เราเพียงแค่รอคอยที่จะให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็ว ๆ เพื่อที่จะได้ผ่านเรื่องนี้ไปเร็ว ๆ

                คนทุกคนต่างรอคอยที่จะผ่านเรื่องทุกข์ใจให้เร็วที่สุด  ส่วนเรื่องความสุขก็อยากจะให้มันอยู่กับเรานาน ๆ  ในความเป็นจริงแล้ว  คนทุกคนก็ต่างรู้ดีกันอยู่แล้วในเรื่องของเวลา  ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เวลาในแต่ละวันก็มีเท่ากัน   เพียงแต่มันต่างกันที่ใจของเรา  เมื่อเราสุขใจของเราจะล่องลอยพองโต ไม่รู้วันรู้เวลา  แต่เมื่อเราทุกข์ใจเราจะจดจ่ออยู่ที่ความทุกข์มากกว่าความสุข  เอาใจไปผูกไว้กับเวลาแต่ละนาทีที่เปลี่ยนผ่าน แล้วคิดว่าทำไมเวลาถึงเดินช้า  แต่ละก้าวมันลำบากเหลือเกิน   แต่สิ่งที่ทำได้คือ เราต่างอดทนกับความทุกข์ในวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม  แต่เราอย่ารอคอยด้วยความสิ้นหวัง เราควรหาโอกาสและสร้างความสุขขึ้นมาใหม่เมื่อเช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นอีกครั้ง   วันพรุ่งนี้ก็เปรียบเสมือนอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  ถ้าเราคิดว่าจะก้าวต่อไปในอนาคตก็จงมองตัวเองในวันนี้  อดทนกับสิ่งต่าง ๆ ในวันนี้  เพื่อนำไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ดาวอุดมการณ์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ดาวอุดมการณ์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนนี้ทำให้รู้สึกว่า คนเราทุกคนนั้นไม่ว่าเรื่องที่เราเจอจะใหญ่แค่ไหน  จะยากแค่ไหน  จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม  ถ้าเกิดว่าเรามีอุดมการณ์ที่แน่วแน่  ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้ได้  อุดมการณ์นี้เองที่จะเป็นตัวผลักดันเราให้ก้าวต่อไปข้างหน้า   ถึงแม้ว่าอุปสรรคจะมีเยอะก็ตาม แต่ว่าเราก็พร้อมที่จะเดินหน้าเข้าไป และด้วยความรู้สึกที่แน่วแน่มั่นคงที่จะทำสิ่งนั้นต่อไป  เราก็จะสามารถทำมันได้จริง ๆ ในสักวันหนึ่ง

                สำหรับความเห็นส่วนตัวของฉัน   ฉันคิดว่าอุดมการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงเท่าไหร่   ถ้าเกิดว่าขาดความเชื่อมั่นและยึดมั่นในสิ่งนั้นจริง ๆ  เพราะว่าอุดมการณ์เหมือนเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังได้ง่ายจากความเชื่อมั่นที่มีต่อ ๆ กัน  ความคิดเดียวกัน ความเห็นเดียวกัน  แต่ว่าถ้าเกิดว่าเราไม่ได้เชื่อมั่นในสิ่งนั้นด้วยความรู้สึกของเราจริง ๆ มันก็ไม่สามารถเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงและทำให้มีประสิทธิภาพสำหรับเราได้ 

การที่อุดมการณ์จะเกิดขึ้นได้ มันก็เกิดมาจากการที่เรายึดมั่น เชื่อมั่นในสิ่งนั่นจริง ๆ เราถึงกล้าเดิมพันมันด้วยชีวิต  แต่หากว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อมั่นมาจากใจเราจริง ๆ เป็นแค่ตามกระแส หรืออาจจะเป็นเพราะอิทธิพลอะไรที่มาจูงใจเราก็ตาม  ถ้ามาจากปัจจัยเหล่านี้ ก็แน่นอนว่าไม่มีใครจะเอาชีวิตไปฝากไว้กับสิ่งที่ตนไม่เชื่อมั่นมันจากใจจริง ๆ ได้หรอก   

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “น้องน้อย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “น้องน้อย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้ให้ความรู้สึกที่ว่าผู้แต่งนั้นกำลังเสียดายสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา ที่ได้ช่วยเป็นแรงผลัดดันให้กับคนคนหนึ่งด้วยความหวังว่ามันจะสำเร็จ   แต่แล้วทุกอย่างก็กลับหยุดลง  เพราะคนนั้นได้หยุดที่จะก้าวไปต่อ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เราพยายามจะเป็นแรงผลักดันให้คนคนหนึ่งได้เดินต่อไปให้สุด แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างก็ดับลง สิ่งที่สร้างมา ช่วยกันมาก็กลับไม่เหลืออะไรเลย

                ในบทนี้ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของการศึกษาที่มีคนข้างหลังช่วยผลักดันให้เรามีอนาคต   คนข้างหลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่เราจะก้าวเดินไปข้างหน้า และประสบความสำเร็จในชีวิต  คนข้างหลังจะได้ดีใจและภูมิใจในตนเองมากขึ้น ถึงอย่างน้อยตัวเองจะไม่มีโอกาสได้เรียน  แต่ว่าก็ได้ส่งให้คนคนหนึ่งได้เรียน  ได้มีอนาคตที่ดีกว่าตน  แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับดับลงถ้าเกิดว่าคนคนนั้นเลือกที่จะหยุดมันไว้แค่นั้น   ไม่คิดจะเรียนให้สมกับที่คนข้างหลังคอยให้การสนับสนุนมาโดยตลอด   สุดท้ายสิ่งที่อีกคนพยายามผลักดันก็สิ้นหวังและได้วนมาสู่วังวนแบบเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนข้างหลังได้วาดฝันไว้