วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เก็บข้าวตก” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี เก็บข้าวตกในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                ในบทนี้เราจะเห็นภาพของเด็กตัวเล็กวิ่งกันลงนาไปเก็บข้าวที่ตกในท้องนาแล้วนำไปขาย   ข้าวตกก็คือข้าวที่อยู่ตามพื้นนาที่ชาวนาเขาเกี่ยวข้าวไปแล้วได้ล่วงหลนอยู่บนพื้นนา   เด็กน้อยต้องรีบไปเก็บก่อนที่นกและหนูจะกินหมด  เอาผ้าไปใส่เม็ดข้าวที่เก็บได้ตั้งแต่เช้า เมื่อเต็มก็เอาไปขายให้กันร้านค้า

                จากในบทกวีเราจะเห็นว่ามีร้านค้าอยู่สองร้าน ซึ่งรับซื้อข้าวเหมือนกัน แต่มันต่างกันตรงที่ ร้านหนึ่งเอาเปรียบเด็ก เพราะกดราคาข้าว แถมยังดูถูกดูหมิ่นเด็กน้อยเหล่านั้นอีก  ส่วนอีกร้านเป็นร้านชาวบ้านที่เข้าใจเด็ก ๆ เหล่านี้ และไม่คิดจะดูถูก เพราะเห็นค่าของข้าว 

                เงินที่เด็กได้มาจากการขายข้าวนั้นก็จะเอาไปซื้อขนมกินบ้าง หรือซื้อก๋วยจั๊บกินบ้าง ตามแต่ความพอใจของเด็ก ว่าจะนำไปซื้ออะไร 

                ในบทนี้นอกจากจะเห็นความน่ารักแบบเด็ก ๆ แล้ว เรายังได้รู้จักคุณค่าของข้าวอีกด้วย  ถึงแม้ว่าขาวของเด็กเหล่านั้นจะไม่ได้มากมายมหาศาลเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำได้  แต่มันก็มีค่ามากพอที่จะเอาให้เด็กได้กินขนมโดยที่ไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่มาซื้อ  มันก็ถือเป็นการแบ่งเบาภาระของที่บ้านอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะรู้จักหาเงินมาเองได้ ข้าวทุกเม็ดที่ตกตามท้องนาเมื่อนำมารวมกันแล้วมันก็มากพอที่จะทำให้ใครบางอิ่มท้องได้เหมือนกัน

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ทางของพ่อ” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี ทางของพ่อในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                บทกวีตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสมัยก่อนตอนที่ยังไม่มีความสะดวกสบายใจการใช้ชีวิตแบบทุกวันนี้

ในบทนี้เราเห็นว่าความยากลำบากของคนในสังคมสมัยก่อนเป็นอย่างไรบ้าง   ทั้งความยากจน  ทั้งความลำบากในการเดินทางไปในอำเภอที่อยู่ในเมือง  เพราะ ต้องเดินทางไปด้วยเกวียน  ไม่มีทางเดินที่สะดวกสบาย ไม่มีรถที่สามารถไปไหนได้เร็วทันใจ  เร็วที่สุดในการเดินทางก็คือการนั่งเกวียนไป   ไม่มีบ้านช่องหลังใหญ่โตโอฬาร  แต่มีบ้านพอให้อาศัยอยู่ได้  มีที่ทางในการทำนา  งานทุกงานเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งสิ้น   

                ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคต่อมาจะได้รับความสะดวกมากกว่าเดิม  เพราะมีรอยในการเดินทางของคนรุ่นเก่าเป็นคนสร้างให้  และสิ่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่มากมายมหาศาล  แต่คือคุณค่าของความเป็นคน  ที่คนทุกคนควรได้รับไม่ว่าจะยากดีมีจน ลำบากหรือสุขสบายก็ตาม    

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ทวดทั้งสอง” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี ทวดทั้งสองในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                บทกวีตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลานที่ระลึกถึงเรื่องราวชีวิตปู่ยาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว   ซึ่งสิ่งที่คนรุ่นปู่ย่าได้ทำเมื่อในอดีตก็คือ  การทำนา  บทนี้เราจะได้เห็นถึงความยากลำบากของการทำนาเมื่อสมัยก่อน   ซึ่งต่างจากสมัยนี้มาก

                การทำนาในสมัยก่อนที่เห็นในบทนี้ก็คือ   วัวต้องแบกเกวียนไถนา  กว่าที่จะได้ดินที่พร้อมปลูกข้าว กว่าจะได้ข้าวที่พร้อมเก็บเกี่ยวก็ต้องใช้เวลานานในการรอคอยแต่ละวันที่ยาวนาน   ทั้งสถานะการที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  พบเจออุปสรรคมากมายที่ไม่สามารถห้ามได้

                และปู่ย่าในเรื่องนี้ท่านทั้งสองได้ครองรักกันอย่างยาวนาน   ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน  ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากมากแค่ไหนก็ตาม  ท่านก็ไม่เคยทิ้งกัน

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หลานได้รู้จักกับปู่ย่าผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะหลานนั้นเห็นปู่ย่าเพียงแต่ในรูปถ่ายใบเก่า ๆ เท่านั้น  แต่เพราะเรื่องราวเหล่านี้ทำให้หลานได้รักและเคารพปู่ และภูมิใจที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้อย่างภาคภูมิใจ

ฉันชอบบทกวี่ตอนนี้นะคะ   เพราะด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ใครหลายคนอาจจะมองข้ามคนรุ่นเก่า ๆ ที่ผ่านมาในตระกูลของตัวเอง   บางคนอาจจะเบื่อที่คนแก่ชอบเล่าเรื่องสมัยก่อน  แต่ว่าถ้าเกิดลองฟังดูดี  ๆ แล้วเราจะเห็นถึงความรักความอบอุ่น  สังคมสมัยก่อนตั้งแต่เรายังไม่เกิด  เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เราอาจจะไม่สามารถพบเจอได้ในสมัยปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “หนังสือเล่มน้อย” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี “หนังสือเล่มน้อย” ในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                บทกวีตอนนี้มีเนื้อหาว่า  ลูกสาวโดนคุณครูที่โรงเรียนตบหน้า เพราะอ่านหนังสือการ์ตูนในคาบเรียนวิชาเลข พ่อเลยบอกลูกว่าครูคงอยากให้เด็กทุกคนมีระเบียบวินัย ตั้งใจฟังครูสอน  เด็กน้อยจึงเล่าให้พ่อฟังต่อว่า แต่ว่าที่หนูเอาหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านเป็นเพราะว่าได้ทำงานวิชาเลขเสร็จแล้ว  เสร็จก่อนเพื่อนนักเรียนคนอื่น  เธอจึงหยิบขึ้นมาอ่านเพราะเธอว่าง  เมื่อครูเห็น ครูจึงหยิบหนังสือที่เด็กน้อยอ่านอยู่ตบที่หน้าเด็กและฉีดหนังสือทิ้งต่อหน้าต่อตา  โดยที่ไม่ตรวจดูก่อนว่าเธอทำงานเสร็จแล้ว   

                  เรื่องแบบนี้คงเคยได้ยินหรือได้เห็นกันอยู่บ้างในชีวิตของเรา   อาชีพครูนั้นมีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนให้เด็กมีระเบียบวินัย และมีความรู้   แต่การที่ครูได้กระทำกับนักเรียนแบบนี้ทำให้เราเห็นว่า  ครูในนี้มีความบกพร่องในการอบรมสั่งสอนเด็กนักเรียน 

               การที่ครูจะสอนเด็กได้ก็ควรที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี  เพราะถ้าตัวครูเองยังไม่สามารถมีระเบียบวินัย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้  แล้วเด็กที่ไหนจะมานับถือ จะมาเชื่อฟังในสิ่งที่ครูสอน ในเมื่อตัวครูเองยังปฏิบัติไม่ได้  ซึ่งในเรื่องนี้เราเห็นถึง การที่ครูไม่มีความยับยั้งชั่งใจ  ไม่มีความรอบครอบในการดูแลเด็ก 

ถ้าหากว่าเด็กผิดก็ควรที่จะกล่าวตักเตือนเสียก่อน  หรือควรที่จะมาดูเด็ก มาถามเหตุผลว่าทำไมถึงได้ทำแบบนี้  ไม่ควรที่จะลงไม้ลงมือกับเด็กทันที   ควรนึกถึงจิตใจเด็กเสียบ้างว่าเด็กจะรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของครูแบบนี้

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เจี๊ยบ เจี๊ยบ” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี “เจี๊ยบ เจี๊ยบ” ในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                ในบทนี้ แม่ได้เล่าเรื่องแม่ไก่กับลูกไก่ให้ลูกฟัง  แม่เล่าว่า แม่ไก่กกลูกไก่อยู่กลางดินเพราะลูกไก่ยังไม่สามารถบินขึ้นที่สูงได้   ในขณะที่หมามา  แม่ไก่พยายามปกป้องลูกจนตัวเองได้ขาดใจตายในคืนนั้น  เช้ามาลูกไก่เหลือสามในสี่จากเดิม มีลูกไก่ตัวหนึ่งได้ตายไปพร้อมแม่ไก่ ทิ้งพี่น้องที่กำพร้าต้องผจญกรรม ร้องเสียงเจี๊ยบเจี๊ยบก็ไม่มีเสียงตอบรับตั้งแต่เช้าจนถึงคำ   ดาวลูกไก่ต่างหนาวเหน็บเมื่อดาวหมาดำปรากฏตัว   ลูกได้ถามแม่ว่านี้เป็นนิทานเรื่องใหม่หรืออะไร  แต่เมื่อลูกเรียกลูกไก่กินข้าว จึงรู้ว่าลูกไก่เหลือเพียงแค่สองตัว  ลูกจึงได้รู้ความจริงที่แสนโหดร้าย

                ในบทนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของวัฏจักรชีวิตก็ตาม  แต่ก็คงอดสงสารไม่ได้ที่แม่ไก่และลูกไก่ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนั้น   แต่มันก็ทำให้เราเห็นอีกแง่หนึ่งก็คือ  เรื่องของความรักของแม่ที่มีต่อลูก   แม่ไก่พยายามปกป้องลูกจนถึงที่สุดแล้ว  จนตัวเองนั้นต้องตายก็ตามแต่ก็ได้ทำหน้าที่ของแม่เต็มที่ที่สุดแล้ว

                และการที่แม่ของเด็กหญิงที่เล่าเรื่องของแม่ไก่และลูกไก่ให้ลูกฟัง  มันเหมือนเป็นการระบายความเสียใจออกมามากกว่าอยากให้ลูกรับรู้เรื่องแม่ไก่ตายและลูกไก่โดนหมากัดตาย  ถึงแม้ว่าแม่ไก่จะตายไปแล้ว แต่ชะตากรรมของลูกก็ยังต้องเผชิญกับหมาต่อไป  

                สิ่งที่ทำให้เด็กหญิงเศร้าและแม่เศร้ามันต่างกันอยู่เล็กน้อย  เด็กหญิงเศร้าเพราะเสียใจที่แม่ไก่และลูกไก่ตาย   แต่ว่าที่แม่เศร้าเป็นเพราะว่าเห็นถึงความรักของแม่ไก่ที่มีให้ลูก  และยอมจำนนต่อชะตากรรมของไก่เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็อดเสียใจและซาบซึ้งไม่ได้ในความรักของสัตว์ตัวน้อย   ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงไก่ที่ไม่สามารถสู้กับหมาได้   แต่ก็ยอมที่จะตายเพื่อปกป้องให้ลูกมีชีวิตรอดต่อไป เพราะสัญชาตญาณของความเป็นแม่  ที่ตนยอมตาย ยอมเจ็บ เพื่อปกป้องลูกน้อยให้ดีที่สุดตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่  โดยที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับชะตากรรมแบบไหนก็ตาม            

ตีความ ชื่อบทกวี “ลมร้ายจากปลายไร่” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี “ลมร้ายจากปลายไร่” ในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                เรื่องของบทนี้นะคะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชของเพื่อนบ้าน   ที่ทำให้เราเกิดผลกระทบได้รับสารเคมีเหล่านั้นไปด้วย   ถึงแม้ว่าจะบอกเพื่อนบ้านว่ามันไม่ดีอย่างไร  และแนะนำวิธีธรรมชาติให้ไปใช้  เพื่อนบ้านก็เหมือนจะเข้าใจ  แต่สุดท้ายเพื่อนบ้านก็ยังทำเหมือนเดิม   จะกลั้นรั้วก็กลัวว่าจะเสียชุมชน จะไปเตือนอีกก็กลัวเสียมิตร บทสรุปของตอนนี้ก็ทำได้แค่ยอมรับในสิ่งที่เพื่อนบ้านทำเพราะมันคือวิธีของพวกเขา

                ฉันขอเสนอความคิดอย่างสองมุมให้ได้เห็นกันให้กระจ่าง   ถ้าในมุมของเจ้าของบ้านที่ได้รับผลกระทบ  จะเห็นได้ว่าเจ้าของบ้านมีความคิดแบบสมัยใหม่  ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเกษตรแบบใหม่ที่นิยมใช้วิธีแบบธรรมชาติในการทำเกษตร    เพราะเขารู้ดีว่าการใช้สารเคมีแบบเก่า  การใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า  มันส่งผลเสียอย่างไรกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัวบ้าง  ทั้งหน้าดิน  ทั้งแหล่งน้ำ  ไหนจะมลพิษทางอากาศที่แพร่กระจายไปยังคนในพื้นที่โดยรอบ  และมันจะเป็นการทำลายธรรมชาติระยะยาว   ซึ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอนอยู่แล้ว

                แต่ถ้ามองในมุมของเพื่อนบ้านที่ใช้ยาฆ่าแมลง   การที่เพื่อนบ้านยังใช้การทำเกษตรรูปแบบเดิมเป็นเพราะว่า  ตั้งแต่เล็กจนโต  เขาก็ใช้แบบนี้มาตลอด  และจะมั่นใจได้อย่างไรถ้าเปลี่ยนไปใช้แบบที่เจ้าของบ้านแนะนำพืชผักของเรามันจะได้ผลดีมากกว่าตอนนี้   ไม่มีอะไรเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ได้รับรู้มาใหม่มันจะเป็นไปในทางที่ดีได้   ถึงแม้ปัจจุบันมันอาจจะไม่ได้ผลดีมาก  แต่มันก็คงไม่มีอะไรเสียไปมากกว่านี้  ถ้าจะลองแบบใหม่ก็ไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างไร อาจจะแย่กว่าตอนนี้ก็ได้

                ฉันคิดว่าการที่จะทำให้เพื่อนบ้านยอมเปลี่ยนความคิดได้ในเรื่องนี้คือการที่เราลงมือทำให้พวกเขาเห็นว่ามันสามารถส่งผลดีและสร้างความมั่นใจว่ามันว่ามันต้องดีกว่าวิธีเดิม ๆ ที่เขาเคยใช้มา   การที่เพื่อนบ้านไม่ทำตามที่ได้รับคำแนะนำไปเป็นเพราะ  เขากลัวที่จะส่งผลแย่ทางการเกษตรมากกว่าเดิม  

อย่างที่เราทราบกันดีว่าอาชีพเกษตรกร  เป็นอาชีพที่ใช้ชีวิตเดิมพันธุ์กับผลของพืชผักของตนเอง   และยังมีสภาพอากาศ หรือศัตรูพืชคอยจ้องเล่นงานอยู่ตลอดเวลา  ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าการปลูกครั้งนี้จะได้กำไรหรือขาดทุน   มันเป็นการลงทุนที่เสี่ยง  ด้วยเหตุนี้ คนรุ่นเก่าจึงคิดว่าการที่เราต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ ตามที่ได้รับคำแนะนำมา  มันได้ผลไม่ทันใจ  หรือมันอาจจะทำให้ผลแย่กว่าเดิมก็ได้   จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงกับสิ่งที่ยังไม่เห็นด้วยกับตาของตนเองว่ามันได้ผลดีจริง ๆ  

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ของ คิมรันโด ผู้แปล วิทิยา จันทร์พันธ์


รีวิวหนังสือเรื่อง   เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด






ชื่อเรื่อง                   เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
ผู้แต่ง                      คิมรันโด
ผู้แปล                     วิทิยา   จันทร์พันธ์
สำนักพิมพ์             springbooks


                หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก  ซึ่งเป็นแนวจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง   ยิ่งกับช่วงวัยเรียนยิ่งต้องลองอ่าน  เพราะในค่านิยมของไทยยังมีหลายอย่างที่ผิดพลาดอยู่เยอะมากในด้านของความคิด   ผู้ใหญ่บางคนนำอดีตที่ผ่านมาในชีวิตของตัวเองมาตัดสินคนรุ่นใหม่ว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้   ทั้ง ๆ ที่ช่วงเวลาของสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกัน  

เช่น เรื่องของอาชีพในการทำงาน  ผู้ใหญ่มักคิดว่าการเป็นข้าราชการคืออาชีพที่ดีที่สุดแล้ว  ใคร ๆ ก็อยากเป็นข้าราชการเพราะเป็นงานที่มั่นคง   เมื่อสมัยก่อนอาจจะใช่แบบนั้น  แต่สมัยปัจจุบันนั้นมีงานอีกหลากหลายที่มีความมั่นคงเช่นกัน   ไม่ว่าจะมนุษย์เงินเดือนหรืออะไรก็ตาม  ถ้าเรามีความชอบและความรัก เราก็สามารถทำให้มันเป็นงานมั่นคงในชีวิตได้ไม่ต่างจากงานราชการ  เพราะถ้าเป็นงานที่เหมาะกับเรามันจะทำให้เรามีความก้าวหน้าไปได้ไกลมากกว่าที่เราเคยคิดไว้

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องให้เราได้ลองใช้ความคิดและทบทวนตัวเองไปในตัวด้วยว่าเราพร้อมจะก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า  ไม่ต้องกดดันตัวเองมากจนเกินไป  ไม่ต้องท้อแท้กับชีวิตที่เราเป็นอยู่   ไม่ว่าจะวัยไหนเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน บางทีคนที่เลยวัยของวัยรุ่นไปแล้วอาจจะนึกเสียดายที่ได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้ช้าไป ว่าน่าจะรู้จักก่อนหน้านี้ บางทีชีวิตในช่วงนั้นอาจจะมีความสุขกว่าตอนนั้นก็ได้  แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว และไม่สายเกินว่าจะเข้าใจในตอนนี้   เพื่อจะได้แนะนำให้กับรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป  และที่สำคัญคุณผู้ใหญ่ทั้งหลายก็จะเข้าใจคนรุ่นนี้มากขึ้นอีกไม่มากก็น้อย