ชื่อบทกวี
“หมานำเกวียน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ตีความได้ว่า
ในตอนนี้ถ้าอ่านจากตัวบทแล้ว
ถ้ามองแค่แบบผิวเผินทำให้รู้สึกว่าตอนนี้มีความตลกขบขันอยู่ในคำพูดของหลานที่เป็นคนบรรยายเรื่อง
และในคำพูดของลุงที่ได้ตอบคำถามที่หลานถาม แต่ถ้ามองดูลึก ๆ
เข้าไปในความเป็นจริงนั้น มันไม่น่าขำเลยสักนิด
เพราะมันสะท้อนให้เห็นชนบทที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง
ซึ่งเมื่อคนเมืองฟังคนต่างถิ่นพูดบางคำก็เป็นคำธรรมดา
เพียงแต่เขาใช้ภาษาถิ่นที่ต่างกันก็เท่านั้นเอง
และเรายังได้เห็นการเดินทางในชนบทแห่งนี้
ชาวบ้านสังเกตว่าระยะทางอีกไกลแค่ไหนกว่าจะเดินไปถึงในจุดหมาย
ซึ่งนับจากระยะทางตามที่หมาเป็นตัวนำทาง ใช้สัญชาตญาณของสัตว์นั้นเอง
หมานั้นเป็นสัตว์ที่ห่วงถิ่นของตนเอง เวลาไปไหนมาไหนมันมักจะไปฉี่ในที่ที่มันผ่านตลอดระยะทางในการเดินทาง
ชาวบ้านจึงนับว่าตลอดเวลาที่เป็นทางผ่านเส้นทางนี้หมาได้ฉี่กี่ครั้งแล้ว มันเป็นการใช้วิธีชีวิตแบบก่อนที่จะมีสังคมแบบเมืองเข้ามา
คือเมื่อก่อนคนจะรู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เพราะจากการสังเกตจากธรรมชาตินั้นก็คือจากสัญชาตญาณของสัตว์ต่าง
ๆ ที่มักจะทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อเป็นการเตือนล่วงหน้า
และในตอนนี้ยังทำให้รู้สึกหดหู่นิด ๆ
จากการกระทำของครูที่เอาแต่พูดว่า กรรมของกู กรรมของกู ซึ่งถ้ามองจากความเป็นจริงย้อนกลับไปในอดีต
ก่อนที่เราจะมีสังคมเมืองแบบนี้เข้ามา เราก็เคยใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ใช่หรือ
แล้วถ้าเรากลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกสักครั้ง มันแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เมื่อมาฟังคำพูดของลุงกับหลานตอนจบยิ่งทำให้เห็นถึงความอดสูนิด
ๆ ของคนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่เคยไปเยือนในที่ต่างถิ่น
คำที่ลุงพูดก็คือน้ำใจของครูสู้หมากูก็ไม่ได้ มันทำให้เห็นว่า ก็จริงอย่างที่ลุงบอก
เพราะครูเอาแต่นึกถึงความสะดวกสบายของตนเอง จนไม่มองไปรอบ ๆ ทั้ง ๆ
ที่จริงแล้วครูนั้นอาจจะโชคดีกว่าชาวบ้านบางคนที่ไม่ได้นั่งเกวียนแล้วมาลงเดินใกล้
ๆ หมูบ้านที่ใกล้จะถึงแบบครู เพราะบางคนอาจจะต้องเดินทางทั้งไปและกลับด้วยขาทั้งสองข้างเป็นประจำก็ได้