บทกวีบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของชาวนาที่ต้องออกไปเผชิญโลกกว้างเมื่อถึงวัยสมควร พ่อแม่ของทุกคนคงจะทราบดีว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง จุดที่เขาพร้อมที่จะไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง ไปพบกับโลกในแบบที่เขาต้องการทั้งเรื่องดีและร้าย ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรหากได้เดินก้าวออกไปจากอ้อมอกของพ่อแม่แล้ว ลูกต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งสภาพสังคมในหมู่เพื่อน ทั้งในหมู่คนทำงาน ฯลฯ
โลกภายนอกมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่โหดร้าย และทำให้เราเสียคนได้เสมอ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเคยสั่งสอนเรื่องบทเรียนต่าง ๆ ให้ผู้หญิงมาบ้าง สอนทั้งเรื่องแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเอย เรื่องที่ต้องระวังตัวไว้ในสังคมเอย หรือ เรื่องอย่าไปกินเหล้าเมายาเอย หรือแม้แต่บทเรียนต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวที่พบเจอเรื่องราวที่โหดร้ายใจชีวิตเมื่อเข้าสู่สังคมใหญ่
ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ อยู่ที่ว่าพ่อแม่เราจะเล่าเรื่องไหนให้เราฟังบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขาเล่าจะเน้นย้ำให้เราฟังก็เพราะเขาเป็นห่วง กลัวเราจะเจอชะตากรรมแบบคนเหล่านั้น เพราะในสังคมใหญ่หาคนจริงใจได้ยากกว่าในละครเยอะ โลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้ดีงาม หรือง่ายดายเหมือนดั่งในหนังในละคร ที่จุดจบจะมีความสุขเสมอไป
พ่อแม่หลาย ๆ ท่านจะเป็นห่วงลูกผู้หญิงมากกว่าลูกผู้ชาย เพราะลูกผู้หญิงมีภาระเยอะกว่าลูกผู้ชาย มีสิ่งที่เสียหายและต้องรับผิดชอบมากกว่าผู้ชาย จึงเป็นที่จับตามองของเหล่าชาวบ้านที่จ้องจะจับผิด และพูดเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ผู้หญิงถูกมองว่าเสียหายกว่าผู้ชายนั้นก็เพราะผู้หญิงสามารถมีลูกได้ หากว่าผู้หญิงเกิดท้องขึ้นมา แล้วผู้ชายไม่รับผิดชอบ ผู้หญิงก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นก่อขึ้น ผู้หญิงจึงเสียหายมากกว่าผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิงจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
แต่ถ้าหากมองเรื่องของสภาพจิตใจนั้น ฉันคิดว่าไม่มีแตกต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะผู้หญิงถูกผู้ชายหลอกจนหมดตัวก็มี และผู้ชายที่โดยผู้หญิงหลอกจนหมดตัวก็มี ซึ่งบางทีอาจจะทำให้ผู้โดนหลอกนั้นเสียผู้เสียคนกันเลยก็ได้ ฉันคิดว่าในจุดนี้เราเท่ากัน ไม่มีใครเหนือกว่าใครและไม่มีใครเสียเปรียบกว่าใคร ทั้งหมดมันอยู่ที่ใครหลงใครมากกว่ากัน ใครรักใครมากกว่ากัน ฝ่ายไหนรักมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะเป็นคนที่แพ้ไป ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองต่อไป....