วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “สันติภพ” ในกวีนิพนธ์แห่งชีวิต “ใบไม้ที่หายไป” โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา



   

               บทกวีบทนี้พูดถึงสงครามที่เคยเกิดขึ้นในสมัยอดีตที่มีการนองเลือดกัน ซึ่งการนองเลือดแต่ละครั้งมันไม่เคยส่งผลดีต่อใครเลย เพราะมันมีแต่ความสูญเสีย 

            และเมื่อเกิดการนองเลือดครั้งหนึ่งคนทุกคนต่างหวังถึงสันติภาพและสันติสุข ได้แต่หวังว่าความสงบจะเกิดขึ้นเมื่อสงครามได้จบลง  แต่ว่าในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้มันกลับไม่เคยมีสันติภาพอย่างแท้จริง เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ก็ได้เกิดโลกใบใหม่ขึ้น เกิดวัฒนธรรมใหม่ เกิดความเปลี่ยนแปลงของประเทศ 

     แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคหรือกี่สมัยก็ตาม ก็คือโลกที่มีแต่ความสันติสุข ที่จะทำให้ทุกอย่างในโลกนี้ไม่เกิดความแตกแยก ไม่เกิดความสูญเสีย ไม่เกิดการนองเลือดเหมือนเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “ห้วงคำนึง” ในกวีนิพนธ์แห่งชีวิต “ใบไม้ที่หายไป” โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา


             
           
             บทกวีบทนี้เป็นการมองโลกแบบวัยเยาว์ที่มองทุกอย่างภายในโลกเป็นสิ่งที่สวยงาม เห็นสิ่งไหนก็ดีงามไปหมด ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสดใส ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฉันมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันคือการเตือนตัวเองว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมองว่าสิ่งรอบตัวของเรามันช่างสดใสและสวยงามเพียงใด ก่อนที่เราจะไปเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ของบทเรียนแห่งชีวิตที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
           
             ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าในวันข้างหน้าจะยังมีตัวเราที่สดใส ร่าเริงเหมือนตอนนี้ไหม หรือจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด จะเจอกับความสุข หรือเจอกับความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถคาดเดาได้เลย แต่ทุกคนคงหวังว่าเราจะมีแต่ความสุขเหมือนดั่งตอนนี้ในทุก ๆ วัน
           
            แต่เมื่อชีวิตได้ก้าวเดินไปข้างหน้า เราไม่สามารถจะตอบได้อย่างเต็มปากว่าเรามีความสุขหรือความทุกข์ โลกที่เรามองเห็นก็จะเริ่มเปลี่ยนไป มันอาจจะไม่สวยเท่ากับเมื่อก่อน บางคนอาจจะคิดว่ามันเลวร้ายเสียจนอยู่ไม่ได้ หรือบางคนอาจจะรู้สึกว่าเฉย ๆ และปล่อยวางกับทุกอย่าง หรือบางคนอาจจะอยู่กับโลกใบเดิมในจินตนาการเพื่อหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงก็แล้วแต่
           
            แต่จงจำความรู้สึกเมื่อครั้งหนึ่งที่เป็นเด็กไว้เสมอว่า ครั้งหนึ่งโลกนี้มันช่างน่าอยู่มากเพียงใด และเรามีความสุขกับมันมากแค่ไหนในวันนั้น

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “ลูกสาวแม่โพสพ” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



                บทกวีบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของชาวนาที่ต้องออกไปเผชิญโลกกว้างเมื่อถึงวัยสมควร  พ่อแม่ของทุกคนคงจะทราบดีว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง   จุดที่เขาพร้อมที่จะไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง  ไปพบกับโลกในแบบที่เขาต้องการทั้งเรื่องดีและร้าย ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรหากได้เดินก้าวออกไปจากอ้อมอกของพ่อแม่แล้ว ลูกต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งสภาพสังคมในหมู่เพื่อน  ทั้งในหมู่คนทำงาน ฯลฯ  
    
    โลกภายนอกมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่โหดร้าย และทำให้เราเสียคนได้เสมอ   ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเคยสั่งสอนเรื่องบทเรียนต่าง ๆ ให้ผู้หญิงมาบ้าง สอนทั้งเรื่องแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเอย  เรื่องที่ต้องระวังตัวไว้ในสังคมเอย หรือ เรื่องอย่าไปกินเหล้าเมายาเอย  หรือแม้แต่บทเรียนต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวที่พบเจอเรื่องราวที่โหดร้ายใจชีวิตเมื่อเข้าสู่สังคมใหญ่

 ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้   อยู่ที่ว่าพ่อแม่เราจะเล่าเรื่องไหนให้เราฟังบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขาเล่าจะเน้นย้ำให้เราฟังก็เพราะเขาเป็นห่วง กลัวเราจะเจอชะตากรรมแบบคนเหล่านั้น  เพราะในสังคมใหญ่หาคนจริงใจได้ยากกว่าในละครเยอะ  โลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้ดีงาม หรือง่ายดายเหมือนดั่งในหนังในละคร ที่จุดจบจะมีความสุขเสมอไป

                พ่อแม่หลาย ๆ ท่านจะเป็นห่วงลูกผู้หญิงมากกว่าลูกผู้ชาย  เพราะลูกผู้หญิงมีภาระเยอะกว่าลูกผู้ชาย มีสิ่งที่เสียหายและต้องรับผิดชอบมากกว่าผู้ชาย  จึงเป็นที่จับตามองของเหล่าชาวบ้านที่จ้องจะจับผิด และพูดเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา  สิ่งที่ผู้หญิงถูกมองว่าเสียหายกว่าผู้ชายนั้นก็เพราะผู้หญิงสามารถมีลูกได้  หากว่าผู้หญิงเกิดท้องขึ้นมา แล้วผู้ชายไม่รับผิดชอบ ผู้หญิงก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นก่อขึ้น ผู้หญิงจึงเสียหายมากกว่าผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิงจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม  

                แต่ถ้าหากมองเรื่องของสภาพจิตใจนั้น  ฉันคิดว่าไม่มีแตกต่างกันสักเท่าไหร่  เพราะผู้หญิงถูกผู้ชายหลอกจนหมดตัวก็มี และผู้ชายที่โดยผู้หญิงหลอกจนหมดตัวก็มี  ซึ่งบางทีอาจจะทำให้ผู้โดนหลอกนั้นเสียผู้เสียคนกันเลยก็ได้  ฉันคิดว่าในจุดนี้เราเท่ากัน  ไม่มีใครเหนือกว่าใครและไม่มีใครเสียเปรียบกว่าใคร ทั้งหมดมันอยู่ที่ใครหลงใครมากกว่ากัน  ใครรักใครมากกว่ากัน  ฝ่ายไหนรักมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะเป็นคนที่แพ้ไป  ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเองต่อไป....