วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “วิถีไม้ขีด (ตำนานบ้านทุ่ง)” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ




                บทกวีบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับตำนานของเสือฝ้ายที่อยู่ในจังหวังสุพรรณบุรี  เสือฝ้ายแต่ก่อนเคยเป็นคนธรรมดา  แต่ชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดเป็นเสือฝ้ายได้ทั้งหมดเกิดจากความแค้น  ความแค้นที่มีต่อภรรยาที่หนีไปอยู่กับชู้  และอำนาจของบาทใหญ่ของผู้มีอิทธิพลที่ทำให้ตนต้องติดคุก  เพราะเล่นถั่วเล่นโป 

ซึ่งในการเล่นการพนันเกี่ยวกับถั่วและโป ในสมัยก่อนยังเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงมากนัก แต่ว่าที่เรื่องร้ายแรงและบานปลายไปถึงขั้นขึ้นศาลก็เพราะว่าเป็นอำนาจของผู้ใหญ่เบี้ย  จากฉนวนสองจุดทำให้เกิดตำนานของเสือฝ้ายขึ้นมา   เรื่องแรกเริ่มจากเสี่ยเบี้ยที่ทำให้ตนเองติดคุก และเรื่องที่สองถึงภรรยาหนีตามชู้ 

ซึ่งสองเรื่องนี้มีความเชื่อมกันก็คือถ้าหากว่าเสือฝ้ายไม่ติดคุกภรรยาก็คงไม่หนีไปกับชู้ เหตุการณ์ทั้งสองนี้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเสือฝ้ายได้ขาดลง จนเกิดเป็นไฟไหม้ลามแผดเผาทุกอย่าง

ฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้มันคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากว่าเรามีความทุกข์และความแค้นสุมอยู่ในอก  จิตใจคนเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ว่าเขาคิดเช่นไรอยู่   และก็เป็นสิ่งที่เปราะบาง  เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนคนหนึ่งได้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง  แล้วถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น โดยที่มันเกิดจากความไม่เป็นธรรม  คงไม่มีใครที่จะยอมปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปโดยที่ไม่โกรธ หรือแค้นเคืองใด ๆ เลย  

บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย  ถ้าเป็นเขา  ซึ่งเราไม่ใช่เขา และเขาไม่ใช่เรา  บางทีเรื่องเล็กน้อยของเขาอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราหมดความอดทนจนไม่สามารถแบกรับอะไรได้อีกต่อไปแล้วก็ได้
    

ตีความ ชื่อบทกวี “เห็นไหมลูก” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



               
      บทความนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำเกษตรที่มีความไม่พร้อมในการเพาะปลูก  ทั้งที่สภาพแวดล้อมไม่เอื่ออำนวย  แต่ก็ไม่ยอมรักษาให้ดีเสียก่อนที่จะทำไร่ทำนา 
                
    กฎของโลกไม่มีสิ่งใดสามารถชนะธรรมชาติได้  วันนี้เราคิดว่าชนะ  แต่วันหน้าเราก็ต้องแพ้อยู่ดี เหตุที่แพ้ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งพอเอาชนะธรรมชาติ  แต่ที่แพ้เป็นเพราะเราแก้ปัญหาไม่ตรงจุด  จึงทำให้เกิดปัญหาสะสมมาเรื่อย ๆ 

    เมื่อเกิดการสะสมมาก ๆ พอมาถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถแบกรับอะไรได้แล้ว ปัญหาทุกอย่างก็จะปะทุออกมาในคราวเดียว  และเมื่อเกิดการปะทุออกมาอย่าล้มหลามมันก็เกินความสามารถที่เราจะฝืนต้านมันได้อีกต่อไป 

    ในการปลูกพืชผัก ทำสวน  ทำไร่  ทำนาก็เช่นกัน  เราไม่อาจจะฝืนหน้าดินได้  ไม่อาจจะฝืนให้ดินที่แห้งคอดให้มีน้ำตลอดทั้งปีได้   หากเราไม่เริ่มพัฒนามันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในแบบที่มันควรจะได้รับการบำรุงมากที่สุด 

    ในบบกวีนี้ก็เช่นกัน เนื้อหาในบทกวี ได้เล่าถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเกี่ยวกับพืชผักของชาวเกษตรกร  ผักที่เกิดการแย่งน้ำจากพื้นดินจนทำให้ฆ่ากันตายในแปลง   

    ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากคนเร่งผลิตพืชผัก  ทั้งที่ดินและน้ำยังไม่สามารถเพาะปลูกได้  แต่คนก็ยังฝืนที่จะปลูกต่อไป พืช ผักเมื่อมีน้ำไม่พียงพอต่อการใช้ จึงได้พากันฆ่ากันตายเพราะแย่งชิงน้ำและสุดท้ายพื้นที่แห่งนั้นก็กลายเป็นที่แห้งแร้ง และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีกหลายครั้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
    ในการทำเกษตรนั้น  เราอาจจะเคยเห็นสภาพดินที่มีปัญหาในการเพาะปลูกพืชผักได้ไม่ดีเท่าที่เราต้องการ   ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ได้แต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือการทำเกษตรให้รอดไปได้ในแต่ละเดือน  เมื่อผลผลิตออกมาไม่ดีเราก็โทษว่าเพราะดินไม่ดี  ต้องไปหาดินใหม่ที่ดีกว่านี้  หรือต้องใส่สารเคมีให้เยอะกว่านี้เพื่อให้ดินดีขึ้น
                
    ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเราสามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกให้อุดมสมบูรณ์ได้โดยไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม ๆ เหมือนโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในเรื่อง
                
    ทางแก้ของปัญหานี้ คือ การเราบำรุงดิน  เราต้องดูแลดินในพื้นที่นั้นให้ดี  ทั้งเรื่องน้ำเรื่องของธาตุอาหารในดิน  เราไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการบำรุงดิน หรือกำจัดแมลงโดยวิธีเร่งด่วนโดยการใช้สารเคมี   เพราะการที่เราทำเช่นนั้น มันก็คือการแก้ที่ปลายเหตุ  สุดท้ายเราก็เสียทรัพย์อย่างไม่จำเป็น ทั้งทรัพย์ในดิน สินในน้ำ และยังเสียเงินเสียทองไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น

    สิ่งควรทำมากที่สุดคือ เราต้องรู้จักการอดทนรอเวลา  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งสิ้น  ดินก็เช่นกัน  หากเราหมั่นรดน้ำพรวนดิน  ใส่ปุ๋ยจากซากพืช ซากสัตว์ และให้ย่อยสลายไปโดยธรรมชาติ  เราก็จะได้ดินที่ดีเหมาะสมกับการเพาะปลูก  

    ซึ่งจะส่งผลระยะยาวในการทำเกษตร เมื่อน้ำดี ดินดี ทุกอย่างก็จะออกดอกออกผลดีตามไปด้วย   และถ้าอยากให้ดินดีไม่มีตกเราต้องหมั่นตรวจเช็คดินว่า  ดินถึงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกแล้วหรือยัง หากยังเราก็ต้องบำรุงสารอาหารให้ดินมากเพียงพอตามที่ดินต้องการ      


วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “จาก” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ




     เรื่องย่อมีอยู่ว่า  ครอบครัวหนึ่งกำลังจะส่งลูกไปเรียนที่ห่างไกลจากบ้านมาก เช้าวันนั้นแม่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหาร  ส่วนพ่อก็ได้แต่นอนคิดเรื่องของลูกที่ต้องจากไปในที่ไกล ๆ เมื่อนั่งกินข้าวกันบรรยากาศในวงอาหารก็มีความเศร้าปนความสุข  สุขกับการที่ลูกได้ไปใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ลูกเลือก  และทุกข์กับการที่ลูกต้องจากคนที่บ้านไปไกลแสนไกล 
                
    เมื่อลูกคนแรกได้ออกเดินทางจากไปสู่ทางของตนเอง  ลูกคนสุดท้องได้บอกกับพ่อและแม่ว่า  ขอใช้ชีวิตอยู่กับบ้านของเราได้ไหม อยู่ทำนาเหมือนคนรุ่นก่อนที่เคยอยู่กันมา ไม่อยากไปเรียนที่ไกล ๆ เหมือนกับพี่ พ่อกับแม่ยิ้มรับกับคำพูดของลูกคนเล็ก แล้วจึงบอกลูกว่า รอถึงวันนั้นก่อนเถอะ แล้วลูกจะรู้ทางของลูก
             
    บทนี้ทำเอาซึ่งอีกแล้ว  คุณเคยจำได้ไหม ตอนเด็ก ๆ คุณเคยบอกกับพ่อกับแม่ว่าอย่างไรบ้าง  เช่น เวลามีญาติผู้ใหญ่แซวว่าโฮ โตเป็นสาว/หนุ่มแล้วมีแฟนหรือยังเนี้ย  (ทั้งๆที่ความจริงอาจจะแค่ 4-5 ขวบ)  เราก็จะตอบไปทันทีว่า   หนูจะไม่มีแฟนหรอก  หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่ไปจนแก่เลย ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ฟังคำตอบนี้
               
     แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป  จนมาถึงวันที่คุณโตขึ้นสู่อีกก้าวหนึ่งของชีวิต   เมื่อคุณรู้และเข้าใจโลกมากขึ้น  ความคิดความอ่านก็จะเริ่มเปลี่ยนไป   จากเมื่อก่อนไม่เคยคิดที่จะไปไหนไกลหูไกลตาจากพ่อแม่  คุณก็เริ่มที่จะอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง  อยากไปเผชิญโลกในแบบที่ตัวเองต้องการ อยากรู้อยากลอง  และก็เริ่มห่างไกลออกไปจากพ่อแม่มากขึ้นทุกที  
            
    ในขณะที่คุณกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่คุณอยากรู้อยากลอง  ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีคนที่รักคุณคอยส่งกำลังใจให้เสมอ  คอยคิดเสมอว่า ป่านนี้คุณจะทำอะไรอยู่นะ  กินข้าวหรือยัง สบายดีหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เงินจะพอใช้ไหม เขาคนนั้นคอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลาในระยะทางที่ห่างไกล  แต่สิ่งที่ใกล้คุณเสมอก็คือหัวใจ   หัวใจที่ยังรักและผูกพันกับคุณเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย
                
    ตอนเป็นเด็กมีใครเคยคิดแบบฉันบ้างไหมนะ  เวลาที่พ่อแม่ส่งให้ไปเรียนเมื่อสมัยอยู่อนุบาล  เคยคิดน้อยใจพ่อแม่ว่า พ่อแม่ไม่รักเราแล้ว ถึงอยากให้เราไปไกล ๆ ไม่อยากให้อยู่บ้าน  ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมไปเรียน   แต่เมื่อเราอยู่ชั้นประถมเราก็เริ่มเข้าใจพ่อแม่มากขึ้นว่า อ๋อ ที่เขาส่งเราไปเรียนหนังสือ เพื่อให้มีความรู้เพิ่มเติม อยากให้เราเก่ง อยากให้เราฉลาด  ถึงได้ส่งเราไปเรียน  เพราะท่านรักเรา   อยากให้เราโตมาเป็นคนที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้  ไม่ต้องลำบากเหมือนที่ท่านเคยผ่านมา  เรามาเข้าใจท่านในวันที่เราโตขึ้น
                
    แต่ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ เกี่ยวกับพ่อแม่ก็คือ  เมื่อเราไปโรงเรียนในก้าวแรกของชีวิต พ่อแม่ที่มาส่งที่โรงเรียนทุกวัน ที่เราเห็นท่านมาส่งเราถึงมือคุณครูแล้วท่านก็เดินจากไปโดยไม่หันมามองเสียงของเราที่ร้องเรียกท่าน ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ไม่สนใจเสียงร้องไห้ของเรา  แต่ที่ท่านไม่หันมามองนั้น เพราะกลัวจะใจอ่อนพาเรากลับบ้านมากกว่า 

    และในทุก ๆ วันที่ท่านมาส่งเราไม่รู้เลยว่า ท่ามาส่งเราแล้วกลับบ้านหรือไปทำงานทันที หรือท่านกำลังทำอะไรหลังจากนั้น เพราะในความจริงแล้วพ่อแม่หลายคนมักจะคอยแอบดูเราอยู่ที่ไหนสักทีในโรงเรียนโดยไม่ให้เรารู้ตัว

    ท่านคอยมองอยู่ตลอดว่า เอ๋ เราจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเข้ากับเพื่อนได้ไหม  ครูจะดุไหม  จะโดนเพื่อนแกล้งหรือเปล่า  ท่านดูจนท่านแน่ใจแล้วว่าเราสามารถอยู่กับครูได้แล้ว ท่านถึงจะได้เดินทางไปทำภารกิจประจำวันของท่านต่อ  ท่านไม่ได้อยากจะให้เราไปไหนไกลจากท่านสักนาทีเดียว  แต่ทุกสิ่งที่ท่านทำในวันนั้น ก็เพื่อให้เราได้มีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองเหมื่อนดั่งในวันนี้



วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “หมานอกบ้าน” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ





     เรื่องย่อ มีหมาตัวเมียตัวหนึ่งทิ้งบ้านของมันเพื่อมาอยู่บ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านคิดว่ามันติดหมาที่บ้านของตน และคิดว่าหมาของอาจเป็นชู้กัน จึงหมาตัวเมียออกจากบ้านไม่ให้มายุ่งกับหมาของตัวเอง เมื่อเวลาให้ข้าวเจ้าหมาก็จะเหลือข้าวไว้เสมอ   เจ้าของบ้านคิดว่ามันอาจจะเบื่อข้าวถึงได้กินไม่หมด แต่เมื่อเห็นเจ้าหมาตัวเมียมากิน จึงรู้ว่าหมาของตนเหลือข้าวในทุกวันทั้งเช้าและเย็นไว้ให้หมาตัวเมีย และแอบพามากินทุกวัน  

     เจ้าของบ้านจึงได้ไปถามชาวบ้านว่าหมาตัวเมียใครเป็นเจ้าของ ทำไมถึงไม่เลี้ยงดูหมา จึงได้ความว่า หมาตัวเมียเป็นหมาของบ้านหลังหนึ่งที่ย้ายบ้านไป และได้ทิ้งหมาไว้ที่นี้ พอหมาไปบ้านไหนก็โดนไล่ตี 

    เจ้าของบ้านได้จ้องตาของหมาตัวเมีย จึงได้เห็นว่าในดวงตานั้นมีแต่ความเศร้าหมอง จนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุที่หมาตัวเมียมาหามาตัวผู้ที่บ้านของตน หรืออาจจะไม่ได้มาหาหมาตัวผู้ แต่อาจจะยอมเสียตัวเพื่อแลกกับการได้มีข้าวมีน้ำกินในทุกวัน

    เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน มนุษย์มีความรู้สึกหิว สัตว์ก็มีความรู้สึกหิวเช่นกัน มนุษย์ต้องหาที่ปลอดภัยไว้อาศัย มีความรู้สึกเจ็บเมื่อเป็นแผล และต่างต้องการได้รับการรักษาเพื่อให้แผลหาย  

    สัตว์ก็เช่นกันมีความรู้สึกไม่ต่างกัน  เพียงแต่สัตว์ไม่สามารถพูดได้ แต่สามาถสื่อสารให้เห็นได้จากการกระทำและแววตา แล้วเหตุใดมนุษย์บางคนถึงไม่คิดถึงจิตใจของสัตว์บางเลย ทำไมถึงได้กล้าทิ้งได้อย่างไม่มีเยื่อใย โดยที่ไม่สนใจว่าชีวิตภายหลังของสัตว์ตัวนั้นจะเป็นเช่นไร ทำเหมื่อนดั่งสัตว์เหล่านั้นไม่มีความรู้สึกเหมือนสิ่งไม่มีชีวิตเช่นนั้นกันหนอ 

ตีความ ชื่อบทกวี “บางหมอกฝ้า” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



              
    บทนี้มีเรื่องย่อว่า ครอบครัวหนึ่งเคยมีความรักความอบอุ่นที่สดใสภายในครอบครัว เพราะความรักและความเข้าใจที่มีให้กัน ช่วยกันเติมสีสันให้กัน แต่ว่าวันนี้เหมือนมีบางอย่างทำให้ภรรยาของเขาไม่สบายใจ ทำให้ครอบครัวไม่สดใสเหมือนเดิม มีแต่ความเศร้าเข้ามาแทนความสุขที่เคยมีให้กัน และสิ่งที่สามีอยากจะขอภรรยามากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ขอโลกใบเก่าที่เคยมีความสุขให้กัน ถึงแม้ว่าอาจจะมีเรื่องให้เศร้าเสียใจกันบ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่เศร้าหมองเหมือนตอนนี้

     ในบทนี้ฉันคิดว่าใครหลายคนคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ความรู้สึกที่อยากจะให้ครอบครัวและคนที่เรารักกลับมาสดใสเหมือนเดิม อยากช่วยแบ่งเบาความเศร้าของเขาให้เบาลง ถึงแม้เราไม่ใช่เจ้าของปัญหานั้นก็ตาม ถึงแม้เราจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราสามารถรับฟังได้ เพราะหากมีใครคนหนึ่งในครอบครัวกำลังมีความทุกข์ โดยที่เราไม่สามารถรับรู้ปัญหาของเขาในขณะนั้น มันก็ส่งผลให้คนในครอบครัวทุกข์ใจไปด้วยเช่นกัน

     ฉันคิดว่าการที่เรารับฟังปัญหาใครสักคน ในยามที่เขามีปัญหาทุกข์ใจ มันก็คือการแบ่งเบาความทุกข์ในระยะเบื้องต้น แต่ส่งผลไปสู่บั้นปลายของปัญหาได้ เพราะการที่เรารับฟังเขา ก็เหมือนเราได้แบ่งเบาความทุกข์ในใจให้เบาบางลง ช่วยให้เขามีกำลังใจที่ดีขึ้น ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้ เขาไม่ได้กำลังเผชิญปัญหาเพียงคนเดียว   ไม่ว่าเรื่องนั้นจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยเราก็ยังรับฟังและอยู่ข้างเขาเสมอ

     คำว่าครอบครัว ในนิยามของฉัน มันคือความเข้าใจ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่หากเราเข้าใจกัน เราก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรคมันไปได้ ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่ความเข้าใจก็ต้องมีเหตุผลในการเข้าใจ หากเรื่องไหนเป็นเรื่องที่ส่อไปในทางไม่ดี เราก็ควรจะเตือนและพยายามโน้มน้าวให้เขาไม่ทำมันผิดอีก 
                

             แล้วสำหรับคุณล่ะคำนิยามของคำว่า ครอบครัวคืออะไร ?


วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “อาบน้ำ” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ






ชื่อบทกวี อาบน้ำในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ


ตีความ

    บทกวีบทนี้อ่านแล้วถึงกับสะดุ้งในหลาย ๆ คำในบทนี้ เพราะเป็นการใช้คำที่ตรงแสนตรง แต่ก็ดูน่ารักเมื่ออ่านจบแล้ว บนนี้เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งได้ไปรับสุนักมาเลี้ยง สุนัขตัวนั้นอายุได้ 1 ขวบ ด้วยความที่ซนแสนซนซะเหลือเกิน เนื้อตัวจึงได้มอมแมม จนไปติดเห็บหมัด อยู่ไม่ค่อยติดบ้าน  เพราะชอบเที่ยว เล่นไปทั่ว  จนเจ้าของต้องพาไปหาหลวงตาที่วันเพื่อจะได้ขอยาแก้เห็บหมันที่ไปติดจากตัวอื่นมากำจัดให้หมดสิ้นไป

     ซึ่งบทที่อ่านแล้วสะดุ้งมีอยู่หลายบทด้วยกัน แต่ขอยกตัวอย่างสัก 2 บทให้เห็น แล้วคุณจะรู้ว่าสะดุ้งจริงไหม

                บทที่7                    
   เป็นสาวเป็นนาง   ไม่รักษานวล
แรด เกินสมควร       จะเสียราคา    
บทที่8
   หนุ่มหนุ่มรุ่นใหม่   รักใคร่หมาย ฟัน
พลาดแล้วอย่าฝัน       ว่ามันเห็นค่า      
                  
    เป็นไงบ้างคะ สะดุ้งเหมือนฉันกันหรือเปล่า ไม่ว่าจะหญิงหรือชายเจอบทนี้แล้วเห็นทีจะสะดุ้งพอกัน 
 
    กลับมาที่บทกันต่อดีกว่า บทนี้ถึงมาแม้ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องหมาที่ชอบไปเที่ยวแล้วกลับมาในสภาพมอมแมม แต่ใครหลายคนก็รักและเลี้ยงดูน้องหมาไม่ต่างจากลูกเหมือนกัน ซึ่งการที่พูดจาสั่งสอนน้องหมาแบบนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การที่เราเลี้ยงดูอย่างดี เราย่อมรักและเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปเที่ยวเล่นไหนไกล ไม่อยากให้ไปติดพันธุ์กับสุนักที่เราไม่รู้จัก เพราะเราเป็นห่วงสุขภาพของสุนักของเราที่อาจจะติดเชื้อจากสุนักตัวผู้ตัวไหนแล้วเกิดโรคกลับมาก็ได้ และแน่นอนสุนักเมื่อผสมพันธุ์แล้ว ตัวผู้ก็จากไป คนที่เดือดร้อนก็จะเป็นเราที่ต้องคอยเลี้ยงดูทั้งแม่ทั้งลูก     
    
    นี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่เราทำหมันให้กับสุนัก เพราะป้องกันได้ทั้งการติดเชื้อจากสุนักตัวตัวผู้ตอนผสมพันธุ์และอีกสาเหตุก็คือ การคุมกำเนิด เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ป้องกัน อาจจะทำให้มีลูกมีหลานออกมามากจนเป็นปัญหาปากท้องภายหลังได้
    
    สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากจะฝากฝังไว้ก็คือ โปรดสอดส่องดูแลสุนักของท่านให้เป็นอย่างดี อย่าให้ไปเที่ยวเล่นไกลหูไกลตา เพื่อสุขอนามัยที่ดี และได้อยู่ดูแล(สุนักของ)ท่านไปอีกนาน


วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “กวาดบ้าน” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ




ชื่อบทกวี กวาดบ้านในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ

ตีความ

                ในบทนี้ฉันคิดว่า บทนี้มันเป็นบทที่มีความหมายในแอบแฝงอยู่ เคยได้ยินกันใช่ไหมคะ ว่าบ้าน ก็เปรียบเสมือนเจ้าของ บ้านเป็นอย่างไร เจ้าของก็เป็นแบบนั้น มันคือการสะท้อนตัวตนของเราในอีกมุมหนึ่ง

                ซึ่งในบทนี้ก็มีการพูดถึงเรื่องบ้าน บ้านหลังนี้ก็ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่น ที่มีเหล่าสัตว์ที่ไม่ได้รับเชิญให้มาอยู่ มาแอบออาศัยด้วย เราต่างก็เคยหงุดหงิดกับการกวาดบ้านที่ต้องพบมูลของสัตว์เหล่านั้น บางคนก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะอย่างไรก็ต้องกวาด ต้องทำความสะอาดอยู่ดี แต่บางคนอาจจะไม่รู้สึกแบบนั้น บางคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดและเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่เวลากวาดบ้านแต่ละที่ต้องเจอสิ่งเหล่านี้อยู่ในบ้าน ตามซอกต่าง ๆ ของบ้าน จนถึงขั้นอยากจะกำจัดมันให้พ้น ๆ ไปจากบ้าน

                ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด ที่เรารู้สึกอย่างไรกับสัตว์เหล่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกเหมือนกันก็คือ เรารักบ้านของเรา เราหวงพื้นที่ของเรา ไม่มีใครที่อยากให้บ้านสกปรกหรือแขกไม่ได้รับเชิญมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเรา และการที่เรารู้สึกแบบไหน มันก็คือสิ่งที่สะท้อนจิตใจของเราด้วยเช่นกัน
          
             ถ้าจะลองเปรียบว่าบ้านก็คือจิตใจของเรา เมื่อมีแมลงมาอาศัยในบ้านของเรา เรารู้สึกหงุดหงิด โมโห โกรธ อยากจะฆ่ามันให้ตาย ก็เท่ากับว่าเราเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง มีเรื่องมากระทบจิตใจหรือมีใครทำให้รู้สึกไม่พอใจ เราก็พร้อมที่จะทำร้ายเขาทันทีด้วยวิธีที่รุนแรงที่สุด
         
           แต่ถ้าเรารู้สึกว่า มันเป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมชาติ สิ่งที่มันทำไว้ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ดีซะอีกเพราะมีมันอยู่ในบ้าน เราถึงได้ไม่เหงา ไม่ต้องกวาดบ้านไปกับความว่างเปล่าของเม็ดฝุ่นที่เรามองไม่เห็น แต่เรายังได้เห็นมูลหนู มูลจิ้งจก ใยแมงมุม ทำให้มีสีสันในการกวาด และเหมือนเป็นการเตือนไปในตัวด้วยว่า บ้านต้องกวาดแล้วนะ มูลหนูเยอะแล้ว มูลจิ้งจกเยอะแล้ว ใยแมงมุมเต็มเลย ซึ่งมันก็จะบ่งบอกว่าเราเป็นคนคิดในแง่บวก ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรหากมีเรื่องอะไรเข้ามาเราก็พร้อมจะเปลี่ยนจากความโกรธ ความโมโห ความอาฆาต มาเป็นความสุขของชีวิตได้เสมอ หามุมมองในการแก้ปัญหาในด้านบวกมากกว่าด้านลบ หากมีเรื่องมากระทบจิตใจ
         
           สุดท้ายนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่คุณเป็นผู้กำหนด เพราะบางอย่างก็มีหลายด้านที่ต้องมอง มากกว่าเพียงแค่หนึ่งด้าน หรือสองด้านเท่านั้น


ตีความ ชื่อบทกวี “บ้านดอกแค” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ



ชื่อบทกวี บ้านดอกแคในกวีนิพนธ์ ครอบครัวดวงตะวันโดย ศิวกานท์  ปทุมสูติ


ตีความ

            
         เรื่องย่อบทกวี ภรรยากำลังบ่นสามีเรื่องที่ไม่ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเหมือนดั่งชาวบ้านแถวนั้น ที่มีไฟฟ้าใช้ มีทีวีดู มีพัดลมใช้ มีน้ำประปาให้อาบ ไม่เหมือนบ้านของตนที่ใช้แบบเดิมทุกอย่าง ทั้งตะเกียง ทั้งหาบน้ำมาใช้ ทั้ง ๆ ที่สามีเป็นนักกวีเป็นปราชญ์ แต่ทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อความสะดวกสบาย ทำไมต้องแปลกแยกกับคนอื่น

    
            ซึ่งหากมองในมุมของภรรยา เราจะเห็นว่า ทำไมสามีถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่โลกนั้นได้พัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายตั้งเยอะ ทำไมถึงต้องมาลำบากต่อไปอีก

       
         หากมองในมุมของสามี เราจะเห็นว่า เหตุผลที่เขาไม่ยอมเปลี่ยนไม่ใช่เขาไม่ตามโลก ไม่ทันสมัย แต่เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นสิ่งที่ทำลายเราโดยทางอ้อม เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองโดยมิใช่เหตุ ทั้งการใช้ไฟฟ้า การใช้พัดลม การใช้เครื่องปลั๊มน้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำรายธรรมชาติ ทำลายสภาพแวดล้อม ถึงแม้ว่ามันคือ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็ตาม แต่สิ่งที่ได้มาไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป

           
     สำหรับ ฉันคิดว่าการที่เรามีไฟฟ้าใช้ในยุคนี้สมัยนี้ มันกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นไปแล้ว เราคงนึกไม่ออกว่าสมัยก่อนเขาไม่มีไฟฟ้าใช้เขาอยู่กันอย่างไร ไม่มีน้ำประปาใช้เขาจะเอาน้ำที่ไหนมาอาบ มากิน  หากลองมองย้อนกลับไปในสมัยของทวด ปู่ ย่า ตา ยาย พวกท่านดำเนินชีวิตอยู่ก่อนที่ไฟฟ้าจะมี พวกท่านกลับอยู่กันได้อย่างสุขสบาย มีความสุข ไม่ต้องกลัวไฟดับเวลาฝนตก เพราะมีตะเกียง ไม่ต้องกลัวไม่มีน้ำประปาใช้ ไม่ต้องกลัวท้อประปาแตกจนไม่มีน้ำใช้ เพราะใช้น้ำจากการตักจากแม่น้ำลำคลอง หรือรองน้ำฝนเอาไว้ใช้ในช่วงหน้าฝน ไม่ต้องเสียค่าน้ำสักบาท ไม่ต้องกลัวยุงกัดเวลานอน เพราะนอนกางมุ้ง มีลมพัดเย็นสบาย ไม่ต้องใช้พัดลมเพราะพื้นที่โดยรอบมีแต่ต้นไม้ ตอนนอนลมก็พัด ตอนเช้าต้นไม้ก็บังแดดไม่ต้องกลัวร้อน
   
        
     หากย้อนกลับมาสมัยนี้ เราต่างหากที่ต้องอิจฉาคนสมัยก่อน เพราะเขาไม่ต้องมาเดือดร้อนแบบเราในแต่ละเดือน ที่ต้องหาเงินมาเสียค่าใช้จ่ายทั้งไฟฟ้า ทั้งประปา ไหนจะต้องซื้อสินค้าเพื่ออำนวยสะดวกให้กับตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เงินในแต่ละเดือนที่หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายออกไปมากเช่นกัน 



วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

รีวิวหนังสือเรื่อง ยุทธการปราบนางมาร ของ ดาริส



รีวิวหนังสือเรื่อง ยุทธการปราบนางมาร


ยุทธการปราบนางมาร



ชื่อเรื่อง                   ยุทธการปราบนางมาร
ผู้แต่ง                      ดาริส
สำนักพิมพ์             อรุณ

                
              หนังสือเล่มนี้ถ้ามองจากภายนอกอาจจะเหมือนนิยายรักโรแมนติกทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันได้สัมผัสในหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกประทับใจก็คือ การที่สอดแทรกเนื้อหาความเป็นของสังคมบางส่วนที่มันเป็นปัญหาจริง ๆ ในสังคมที่เราสามารถพบเจอกันได้ทุกที่ทุกเวลา ก็คือเรื่องของการใส่หน้ากากเข้าหากันเพื่อผลประโยชน์ 
               
             ซึ่งเราไม่สามารถทราบได้ว่าคนที่เรารู้จักมักคุ้นกันอยู่ทุกวันนั้นจะมาดีหรือมาร้าย บางคนเข้ามาแบบดีแสนดี แต่ในความรู้สึกจริง ๆ ของเขาเองอาจจะเกลียดแสนเกลียดเรา และคอยหาช่องว่างเพื่อจะทำร้ายเราได้อย่างรุนแรงและเจ็บปวดที่สุด  เขาจะใช้ประโยชน์จากความไว้ใจของเราเป็นการทำร้ายเราในภายหลังนั่นเอง
               
            และในบางคนที่เข้ามากับเราเหมือนจะเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย แต่ในความรู้สึกของเขาอาจจะไม่ได้อยากทำร้ายอะไรเราเลยก็ได้  อาจจะแค่ไม่ชอบเราไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  แต่เราก็สามารถที่จะระวังตัวไว้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายเรา และเรากลับมองว่าเขาคือศัตรูที่เราต้องระวัง ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เขาอาจจะแค่ไม่ชอบเพียงเท่านั้น
               
           แต่กลับกันคนที่เราไว้ใจมากที่สุด คนที่เราคิดว่าเขาคือมิตรที่แท้จริง บางทีเขาอาจจะเป็นศัตรูที่แท้จริงของเราก็ได้  โดยที่เขาสร้างหน้ากากแห่งความเชื่อใจขึ้นมาหลอกให้เราเชื่อใจเขาได้โดยไม่ต้องสงสัย  และไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้ระแวดระวังตัว จนเมื่อวันหนึ่งมาถึงวันที่เราล้ม เขานั้นแหละที่จะคอยซ้ำเราให้เจ็บมากกว่าเดิม หรือบางทีเขาเองนั้นแหละที่เป็นคนสกัดขาเราล้มให้ลงไปในจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต โดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน และกว่าจะรู้ตัวมันก็คงสายเกินที่จะแก้ไขแล้ว

แต่สิ่ง ๆ เดียวที่เราทำได้คือไม่ใช่การยอมจำนนในความเจ็บปวดครั้งนี้  แต่มันคือการที่เราลุกด้วยตัวเอง ด้วยขาทั้งสองข้างที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้า  โดยที่ปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ แห่งความเจ็บปวดไว้ข้างหลัง เผื่อเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปช้างหน้า ไม่มีใครที่จะทำให้เราล้มเหลวในชีวิตได้นอกจากตัวของเราเอง

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562

รีวิวหนังสือเรื่อง ศิถีสีสันพาฬจรัส ของ แอลลี่



รีวิวหนังสือเรื่อง ศิถีสีสันพาฬจรัส


รีวิวหนังสือเรื่อง ศิถีสีสันพาฬจรัส

เรื่อง                        ศิถีสีสันพาฬจรัส
ผู้แต่ง                      แอลลี่
สำนักพิมพ์             มันดี

                หนังสือเล่มนี้นะคะ ถ้ามองเผลิน ๆ ก็เหมือนนวนิยายทั่วไป ทั้งเนื้อเรื่องที่สนุก อ่านแล้วรู้สึกเพลิน  เนื้อหาน่าติดตาม อ่านแล้ววางแทบไม่ลงกันเลยทีเดียว
                
               เรื่องนี้เป็นแนวดราม่าเลยก็ว่าได้ ชีวิตตัวละครในเรื่องไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลายอย่างหอมหวานเหมือนนิยายพาฝันที่เราเคยอ่านเมื่อสมัยเด็ก ๆ เพราะเรื่องนี้รายละเอียดต่าง ๆ ในเรื่องแทบไม่ต่างจากชีวิตจริงเลยก็ว่าได้ ต้องยอมรับเลยว่าผู้แต่งเขียนได้ดีจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องให้ความรู้สึกเสมือนจริงมาก ทำให้รู้ว่าผู้แต่งเก็บรายละเอียดทุกส่วนได้ดีมาก
               
              นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกแล้วเรายังได้เห็นชีวิตของตัวละครที่มีความสับสนวุ่นวายในชีวิต และปัญหาต่าง ๆ ของตัวละครที่มีความสมจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นสังคมในการทำงาน  สังคมของครอบครัวที่คนภายนอกมองเห็นมันอาจจะสวยงาม จนใครหลายคนอิจฉา  แต่ความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรที่น่าอิจฉาเลยสักนิด  ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ผู้ที่ต้องอยู่ในปัญหานั้นจริง ๆ

เช่น ปัญหาในชีวิตครอบครัวของจรัส ที่คนภายนอกอาจมองว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่เมื่อมามองมุมของจรัสเราจะเห็นว่ามันมีปัญหาภายในครอบครัวที่แสนอึดอัดจนไม่อยากที่จะอยู่ในครอบครัวนี้เลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ยังสะท้อนชีวิตในอีกหลายมุมมองให้ได้เห็น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฉันอยากจะแนะนำให้พวกคุณได้รู้จัก