วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง สิ้นฤทธิ์ คึกฤทธิ์ ของ ส. ศิวรักษ์


รีวิวหนังสือเรื่อง สิ้นฤทธิ์ คึกฤทธิ์
สิ้นฤทธิ์ คึกฤทธิ์


ชื่อเรื่อง                   สิ้นฤทธิ์ คึกฤทธิ์
ผู้แต่ง                      ส. ศิวรักษ์
สำนักพิมพ์             ศึกษิตสยาม

                หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นคึกฤทธิ์ในอีกด้านหนึ่ง  ที่บางคนอาจจะมองเห็นแต่เพียงด้านดีในด้านเดียว หนังสือเล่มนี้บอกถึงความหมายแฝงอยู่ในแต่ละงานของคึกฤทธิ์ที่ได้สร้างไว้อย่างแนบเนียน   เพราะภาษาเขียนของคึกฤทธิ์นั้นเป็นภาษาที่ทำให้เราหลงเข้าไปอยู่กับในโลกของหนังสือ และทำให้เราหลงเชื่อว่า เมื่อสมัยก่อนนั้นมีวิถีชีวิตอย่างไร ทำให้เราคิดตามว่าเมื่อก่อนเมืองไทยเป็นแบบไหนบ้าง   ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เราไม่สามารถทราบเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า   แต่หนังสือเล่มนี้จะบอกเรื่องราว และตัวตนของคึกฤทธิ์ในอีกแง่หนึ่งให้คุณได้รู้  ซึ่งเราก็ไม่สามารถทราบได้อย่าแท้จริงว่าตัวตนจริง ๆ ของคึกฤทธิ์นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่  

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง ใครเป็นซ้าย ของ สุรพงษ์ ชัยนาม


รีวิวหนังสือเรื่อง   ใครเป็นซ้าย
ใครเป็นซ้าย


ชื่อเรื่อง                   ใครเป็นซ้าย
ผู้แต่ง                      สุรพงษ์   ชัยนาม
สำนักพิมพ์             สยามปริทัศน์

                หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ได้อย่างถูกต้อง   ทั้งคำว่าฝ่ายซ้ายที่มีพูดกันเยอะขึ้นในปัจจุบัน  เราได้รู้ที่มาของคำนี้และความหมายที่ถูกต้อง   หนังสือเล่มนี้ถึงแม้ว่ามันจะถูกเขียนขึ้นมานานแล้วแต่ว่าเนื้อหาในเล่มนี้ก็ถือว่าไม่ได้ไกลกับสังคมปัจจุบันเลย   เพราะว่าสังคมปัจจุบันสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันยังคงอยู่   โดยที่เราต่างลืมตระหนักกันไปว่า  เรื่องการเมืองต่าง ๆ นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของคนอื่น  แต่ว่ามันคือเรื่องของทุกคนในสังคมไทยเสียมากกว่า  เราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ไม่ให้ชนชั้นใดมาเอาเปรียบเราได้  ถ้าเราร่วมมือกัน  ถ้าคุณได้อ่านเล่มนี้ คุณจะเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้ในการศึกษาได้ดีทีเดียว

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง ในกระจก วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน ของ เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน


รีวิวหนังสือเรื่อง   ในกระจก   วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน
 ในกระจก  วรรณกรรมและการเมือง


ชื่อเรื่อง                   ในกระจก   วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน
ผู้แต่ง                      เบเนดิกท์  แอนเดอร์สัน
สำนักพิมพ์             อ่าน

                เรื่องนี้เป็นการรวมเรื่องสั้นค่ะ  เนื้อหาส่วนใหญ่สะท้อนกลางเมืองไทยในสมัยที่ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ของอเมริกันเริ่มแพร่หลายในไทย   บางทีเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นต้องรับมาก็ได้  แต่ว่าเรากลับรับมันมาเสียหมดไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี   แต่ทุกคนก็ยอมทำตามเพราะคิดว่าจะทำให้ชีวิตพัฒนาขึ้น  การที่เรารับสิ่งเหล่านี้เข้ามา มันก็กลับทำให้เราได้เสียความเป็นตัวของตัวเองไปเหมือนกัน   เมื่อเราเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมต้องทำ ก็มักจะมีคำตอบที่ตายตัวเสมอจากคนรอบ ๆ ที่บอกว่า ใคร ๆ เขาก็ทำ   มันก็กลายเป็นข้อสรุปที่ว่า คำถามเหล่านั้นก็คือคำถามโง่ ๆ นั้นเอง

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ไปซะแล้ว ของ ฟุเสะ ผู้แปล Toshiki T. Return


รีวิวหนังสือเรื่อง  เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ไปซะแล้ว
เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ไปซะแล้ว


ชื่อเรื่อง                   เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ไปซะแล้ว
ผู้แต่ง                      ฟุเสะ
ผู้แปล                     Toshiki  T. Return
สำนักพิมพ์             LUCKPIM
                เรื่องนี้เป็นแนวตลก ๆ สนุก ๆ แต่ว่าถึงจะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาที่ตลกสนุกสนานก็ตาม  แต่ยังมีบางส่วนที่แสดงถึงสังคมอยู่  มีการสอดแทรกให้เราคิดทบทวนบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม   ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความโลภ และสิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นในสังคม  บางทีสิ่งที่มนุษย์คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายต้องกำจัดทิ้งไป  ถึงแม้ว่าปีศาจจะบางตัวอาจจะไม่มีความคิดก็ตาม แต่มันก็รักพวกพ้องและภัคดีต่อนายของมัน มากกว่ามนุษย์เสียอีก

               

รีวิวหนังสือเรื่อง ฉันจึงมาหาความหมาย ของ วิทยากร เชียงกูล


รีวิวหนังสือเรื่อง ฉันจึงมาหาความหมาย
 ฉันจึงมาหาความหมาย


ซื่อเรื่อง                   ฉันจึงมาหาความหมาย
ผู้แต่ง                      วิทยากร  เชียงกูล
สำนักพิมพ์             สามัญชน

                คนหลายคนคงคิดว่ายุคนี้เป็นยุคของการศึกษา เป็นยุคที่ต้องเรียนสูง ๆ ถึงจะมีอนาคตที่ดี มีงานที่ดี  แต่ว่าความจริงแล้วมันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น   การศึกษาก็เหมือนดั่งค่านิยมที่เราได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก  ทำให้คนนั้นเริ่มกระตือรือร้นเรื่องการศึกษา แต่ความจริงของสังคมเรามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น  การศึกษาของเรายังไม่ได้มาตรฐานขนาดนั้น   ยังมีครูหลายคนที่เอาเปรียบเด็กอยู่ การเอาเปรียบนี้คือ ครูได้เงินเดือนในแต่ละเดือน แต่ว่าเด็กที่เสียค่าเทอมกลับไม่ได้รับความรู้ตามที่เขาต้องการ  
                บางทีสิ่งที่เรากำลังพยายามที่จะโตเป็นคนที่มีความรู้นั้นมันอาจจะไม่ได้หาได้แค่ในห้องเรียน  เพราะบางทีห้องเรียนก็ไม่ได้สอนอะไรให้เรารู้มากขึ้นเลย   หนังสือเล่มนี้พยายามที่จะทวงถามในสิ่งเหล่านี้ว่า แบบนี้มันดีจริงหรือ การที่เราตั้งใจสอบเข้าไป ตั้งใจที่จะได้รับความรู้อย่างเต็มที   แต่แล้วสิ่งที่เราได้มากลับเป็นแค่ใบจบเท่านั้น  แต่มันไม่ได้เป็นการรับประกันเลยว่าเราตลอดเวลาที่เราเข้ารับการศึกษามา เราได้รับอะไรเพิ่มเติมขึ้นบ้าง บางทีสิ่งที่เราได้มันอาจจะเป็นความว่างเปล่าเท่านั้นเอง   ลองมาหาความหมายและหาคำตอบ ไปพร้อมกับหนังสือเล่มนี้ดูนะคะ   มันทำให้เราคิดอะไรได้อีกเยอะเลย

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง Another episode S ของ Yukito Ayatsujl แปลโดย Draconia


รีวิวหนังสือเรื่อง  Another episode S
Another episode S



ชื่อเรื่อง                   อนาเธอร์ เอพิโซด เอส
ผู้แต่ง                      Yukito  Ayatsujl
แปลโดย                 Draconia
สำนักพิมพ์              Dex Press Publishing
                เล่มนี้เป็นตอนพิเศษของเรื่องนี้ค่ะ   จากภาคปกติของเนื้อเรื่องตอนที่เมย์ไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศกับครอบครัว  เล่มนี้เอาตอนนั้นมาขยาย   ยังคงสร้างบรรยากาศของความลึกลับและน่าค้นหาไว้เหมือนเดิมเลยค่ะ  มีบรรยากาศกดดันเสมอ ๆ เป็นเรื่องที่ฉันชอบมากเลยค่ะ เมื่ออ่านทำให้รู้สึกว่าเราได้หลุดเข้าไปในโลกของหนังสือลุ้นละทึกได้ตลอดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่อง

ตีความ ชื่อบทกวี “กล” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “กล” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                ตอนนี้แสดงให้เห็นเล่ห์กลต่าง ๆ ทางสังคม ที่ต่างสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงกันเอง  มีทั้งขอทาน พระ เครื่องรางของขลัง เรื่องขายของต่าง ๆ ในสังคมนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการใช้เล่ห์กลที่เอามารวมกับเรื่องของความเชื่อ จนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา  แต่ถ้ามองจากความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันไม่มีอะไรที่เป็นจริงอย่างที่พูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย   ทุกอย่างต่างสร้างมาเพื่อล่อหลอกกันมากกว่า แม้แต่เรื่องเล่าในแต่ละวันที่คนทุกคนต่างเจอ บางทีมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่เกินความจริงกับสิ่งที่ตัวเองเจอก็ได้  เราไม่ควรที่จะเชื่ออะไรมากเกินไปและคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงเสมอ  เราควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะเลือกเชื่ออะไรไป

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “นางไม้” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “นางไม้” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                ฉันคิดว่าตอนนี้มีเนื้อหาที่รุ่นแรงอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อของบางคนเกี่ยวกับเรื่องนางไม้  ในตอนนี้เป็นการเอาความเชื่อกับสังคมมาโยงกัน  คนสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อเรื่องมีนางไม้อยู่ในต้นไม้ในป่า จึงไม่กล้าที่จะตัดไม้ที่มีอายุมาเป็นพัน ๆ ปีที่อยู่ในป่าเลย   แต่ว่าคนสมัยนี้ไม่เชื่อเรื่องนี้อีกแล้ว   เพราะว่ามีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากขึ้น  เพราะไม่มีความเชื่อในเรื่องของนางไม้ และพวกเขาไม่เคยเจอกับนางไม้ซึ่งเป็นความเชื่อของคนสมัยก่อน ไม่ว่าเขาจะลงมือตัดไม้กี่ต้นก็ตาม     

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “บัง” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “บัง” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                ตอนนี้เป็นตอนที่พ่อขับรถพาลูกสาวเข้าเมือง   ลูกสาวมองทิวทัศน์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาและเธอก็ใช้นิ้วบัง  ทั้งภูเขา ทั้งพระ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะใหญ่มาก แต่เธอก็เอานิ้วบังแล้วมองสิ่งเหล่านั้น  แต่เมื่อเข้าเมืองมาก็มีแต่ตึก อยู่ ๆ รถของพ่อเธอก็หยุดกะทันหัน เพราะว่ามีเรื่องรถข้างหน้าชนกัน  เจ้าของรถทั้งสองเถียงกันว่าใครผิดใครถูก จนทำให้จราจรติดขัด ลูกสาวคิดในใจ คุณพระช่วย แล้วพลางนึกว่าพระที่อยู่ก่อนเข้าเมืองที่ตนเพิ่งผ่านมานั้นอยู่ที่ไหน หรือว่าตึกต่าง ๆ ที่มีมากมายนั้นได้บังตาคนเมืองจึงไม่เห็น

                ฉันคิดว่าที่ลูกสาวสื่อนั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้พระมาจริง ๆ แต่ว่าหมายถึง พระที่อยู่ในใจของแต่ละคน ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะเป็นความเมตตาปราณี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน   ภาพที่เห็นคือ คนในเมืองมีแต่ความร้อนรุ่ม รีบเร่งตลอดเวลา  ไม่เคารพกฎจราจร จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ที่สังคมเมืองเป็นแบบนี้เพราะว่า  ทุกคนนั้นต่างไม่มีเมตตาปราณีกัน  จนทำให้ต่างคิดว่าตัวเองถูกเสมอ และยังเคียดแค้นซึ่งกันและกัน ไม่มีใครยอมใคร  เพราะต่างคิดว่าเรื่องของตนนั้นต้องมาก่อน จึงอาจจะคิดได้ว่าการที่สังคมเป็นแบบนี้เพราะเป็นไปตามระบบของทุนนิยม  ที่ทุกอย่างต้องมีความเร่งรีบอยู่เสมอ  จนทำให้มองข้ามเรื่องของผู้อื่น

ตีความ ชื่อบทกวี “ซ่อน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “ซ่อน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                ตอนนี้เป็นตอนสาวน้อยไปเก็บดอกไม้ที่สวนดอกไม้  สาวน้อยใช้มือกรุยทางเดินไปหาดอกไม้ที่เธอหมายตาไว้  ดอกไม้ตรงนั้นกำลังพลิ้วไหวตามสายลม แต่แล้วดอกไม้ก็หยุดชะงักอยู่กับที่  เธอสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมอยู่ ๆ ดอกไม้จึงหยุดนิ่ง  เธอค่อย ๆ  ย่องเข้าไปดูก็พบว่ามีงูอยู่ตรงนั้น  เธอจึงค่อย ๆ ย่องออกมาจากสวน และคิดว่านี้งูตัวนั้นซ่อนอยู่ในสวนตลอดเลยหรือ


                ในตอนนี้ฉันคิดว่าการที่เราหลงไปกับสิ่งสวยงาม    บางทีอาจจะมีอันตรายซ่อนอยู่ในนั้นก็ได้โดยที่เราไม่รู้ตัวและไม่คาดคิดมาก่อน  หากว่าเราไม่รู้จักระวังตัวให้ดี ๆ   เกิดความประมาทขึ้นเพราะเห็นความสวยงามมาล่อตาล่อใจอยู่  จึงหลงไปกับความสวยงามเหล่านั้น จนลืมที่จะสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวของเราให้ดีเสียก่อน  เราอาจจะลืมไปว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม  มันมักจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้เสมอถ้าเราเกิดความประมาท   หรือบางทีสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เสมอ ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจกับความปลอดภัย มันก็อาจจะเป็นภัยร้ายแรงที่เราหลงลืมมองข้ามมันไปก็ได้   อย่าให้ความเคยชินมันทำให้เราต้องเจ็บตัวและต้องเสียใจกับความประมาทของตัวเราเอง   

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง ในเวลา ของ แรคำ ประโดยคำ


รีวิวหนังสือเรื่อง  ในเวลา
ในเวลา


ชื่อเรื่อง                   ในเวลา
ผู้แต่ง                      แรคำ   ประโดยคำ
สำนักพิมพ์             ผจญภัย

                เรื่องนี้เป็นบทกวีที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนเรื่องสั้นเลย รู้สึกว่าแต่ละตอนเหมือนมีพล็อตเรื่องอยู่ในตัว  สนุกดีนะคะ รู้สึกว่าได้ทั้งเสียงและภาพเลย   แถมแต่ละตอนยังแฝงบางอย่างอยู่ด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่แฝงอยู่ในนี้   มีทางเดียวที่จะรู้คือคุณต้องเป็นคนลงมืออ่านอย่างนั้นเอง  คุณถึงจะพบมัน  

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ใส่หน้ากาก” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “ใส่หน้ากาก” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                ฉากของบทนี้อยู่ที่งานวัด  เพราะมีทั้งลิเก หนัง โรงละคร และร้านขายหน้ากาก  เด็กน้อยกำลังมองดูหน้ากากหลายอันที่วางขายอยู่  แต่ไม่ว่าหน้ากากนั้นจะรูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน คนก็จะแสดงออกด้วยการยิ้ม  ฉันคิดว่าในบทกลอนนี้มันอาจจะสื่อว่า   ไม่ว่าคนเรานั้นจะรู้สึกอย่างไร แต่เราก็สามารถแสดงออกด้วยท่าทางและการยิ้ม กลบเกลื่อนสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นไปได้ โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าภายในใจนั้นเขาเป็นอย่างไร  บางทีหน้ากากที่มันไม่สวย แต่ว่าคนที่ใส่อาจจะยิ้มอยู่ก็ได้ หรือบางทีหน้ากากนั้นกำลังยิ้ม แต่คนอาจจะคิดร้ายก็ได้  และในตอนจบของเรื่อง เด็กน้อยก็เลือกที่จะไปดูโรงเงาะซาไกที่ต้องสวมใส่หน้ากากในการแสดง  มากกว่าที่จะเลือกดูลิเก กับหนังที่มีการใช้หน้าจริง ๆ ของคนที่ใช้ในการแสดง

ตีความ ชื่อบทกวี “เด็กล้างจาน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “เด็กล้างจาน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ


                บทนี้ฉันคิดว่า กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่เหลือทิ้งอย่างไม่รู้คุณค่า ฉันคิดว่าเนื้อหาของตอนนี้ออกแนวประชดเรื่องการกินอาหารที่กินทิ้งกินขว้างของคนในสังคม  แต่ว่าอ่านแล้วกลับไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงประชดในบทกลอนนี้เลย  เหมือนเป็นการพูดธรรมดาว่าฉันไม่ต้องการขอข้าวแกงจากบทเพลงจันทร์เจ้าที่เคยไว้ร้องตอนเด็ก ๆ     เพราะว่าเศษอาหารที่มีบทโลกนั้นเหลือทิ้งนั้นมีปริมาณมาก   สามารถกินได้เป็นหมื่นแสนล้านปี  ก็เท่ากับว่าอาหารที่โลกนั้นต้องมีปริมาณที่เยอะมาก  จึงทำให้เหลือทิ้งได้มากมายขนาดนี้   (แต่ก็แปลกนะ ทั้ง ๆ ที่อาหารเหลือเยอะขนาดนี้แท้ ๆ แต่ทำไมยังมีคนที่อดตายอยู่หละ...น่าคิดนะ ^^)

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ช้อนกุ้ง” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “ช้อนกุ้ง” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ตีความ

                ตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกุ้งฝอย  ตัวละครจะไปช้อนกุ้งฝอย แต่ว่าเมื่อเจอกับฝูงกุ้งฝอยนั้นก็กลับทำให้เปลี่ยนใจไม่ช้อนกุ้งฝอย  เพราะว่าความงามของฝูงกุ้งฝอยนั้นที่เป็นความงามอย่างธรรมชาติ   ความงามของฝูงกุ้งนั้นเปรียบเหมือนกับเทพธิดาท้องทุ้ง  ซึ่งทำให้เห็นว่าฝูงนั้นงามจริง ๆ พลิ้วไหวเหมือนเพชรรุ้งจนทำให้คนนั้นเกิดความประทับใจ  จึงได้กลับไปตัวเปล่าก็จริง  แต่ว่าเขากับได้รับความเติมเต็มบางอย่างเข้ามาแทน ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับนั้นมันกลับเป็นความสวยงามที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขาแทน  
ฉันคิดว่ามันก็คงอาจจะจริงแหละกับคำว่าสุขอยู่ที่ใจ  เพราะว่าถ้าเกิดว่าเขาตัดสินใจช้อนกุ้งเหล่านั้นเสีย เขาก็จะได้อาหารเพิ่งอีกหนึ่งมื้อ ถึงแม้ว่ากุ้งนั้นจะไม่ใช่สัตว์ใหญ่เนื้อเยอะแบบชนิดอื่น  ที่จะทำให้อิ่มท้องได้ยาวนานก็ตาม  แต่ว่าเมื่อเขาตัดสินใจที่จะปล่อยมันไว้ในที่เดิม ก็เท่ากับว่า ความสุขของเขาคือการที่ฝูงกุ้งที่มีความสวยงามเหมือนดั่งเพชรที่เป็นประกาย  นั้นเติมเต็มความรู้สึกในใจเขานั้นเอง  

ตีความ ชื่อบทกวี “ทางมืด” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “ทางมืด” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ตีความ
                ตอนนี้ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐกิจและอาชญากรรม  จากที่ตัวบทบรรยายมานั้น  เหมือนกับว่ามีคนที่ยังลำบากอยู่เป็นแสน ๆ คน ที่ไม่มีทางออกของชีวิตว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น  แต่เมื่อมีคนหนึ่งคนที่มีฐานะเข้ามา ก็ทำให้คนเหล่านี้คิดได้ว่า  นี้แหละคือทางออกของตนเอง ทำให้รคนเหล่านี้รู้สึกว่ามีความหวังในชีวิตที่อาจจะสุขสบายได้ขึ้นมา  จึงทำให้เกิดการฆ่าคนมีฐานะเพื่อแย่งชิงเอาของมีค่าเหล่านั้นมาเป็นของตัวเอง   ถึงแม้ว่ามันจะคือทางที่ผิดกฎหมายก็ตาม  แต่ว่าเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของตนเองนี้ก็คือทางออกที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็ได้  เรื่องนี้จึงได้ชื่อว่าทางมืด
                การที่คนเราก่ออาชญากรรมกันมากขึ้นนั้นก็เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี  มีการโกงชาวบ้านจนทำให้พวกเขาไม่มีที่ทำกิน   มีชีวิตความเป็นอยู่ที่แย่ลง จนถึงขั้นลำบากขาดแคลน  และถ้าถามว่าทำไมไม่ไปทำงานอื่น ไม่ไปหางานอื่น บางทีพวกนายทุนทั้งหลายอาจจะมองย้อนกลับมาที่ตัวเองบ้างก็ดีนะคะ ว่าคุณเคยให้โอกาสเขาไหม แน่นอนใครๆ ก็ต้องการคนที่มีความรู้มาทำงาน แล้วพวกเขาที่ไม่มีความรู้จะสามารถทำอะไรได้ ? ทั้ง ๆ ที่ควรจะดูความสามารถก่อน แต่ว่าคุณมองแค่เรื่องการศึกษา เรื่องสถาบันซะส่วนใหญ่ ก็ไม่แปลกที่จะเป็นการกดดันให้มีเหตุการณ์การปล้น การจี้กันมากขึ้น  เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นคุณยังคิดว่าเป็นความผิดของพวกเขาอีกหรือ ? 

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “หนานคำ” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “หนานคำ” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ
                บทนี้เป็นบทที่เด็กเป็นผู้เล่าเรื่อง   เด็กพูดถึงหนานดำ ที่มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ในป่า   เด็กเล่าว่า หนานคำนั้นเป็นคนที่อ่อนโยน ถึงจะไม่ค่อยเยิ้ม เป็นคนรักป่า รักสัตว์ และสัตว์ก็ให้ความไว้ใจกับหนานคำ  และหนานคำคิดว่าสัตว์เหล่านี้เชื่อง  เพราะมีฝูงกวางมาที่นี้บ่อย ๆ  นกป่าก็เข้ามาที่ชายคา  และยังมีเสือที่อยู่ในกรงมีทั้งหลากกรงและหลายตัว   มีเสือตัวหนึ่งที่เดินวนรอบกรงหลายรอบแล้วจงหน่ายใจนอน  หนานคำบอกว่าทำกรงให้กว้าง ๆ  เพื่อให้เสือมีที่เดิน ถ้าทำที่แคบ ๆ เสือจะดุร้าย  เด็กมองเสือที่หมอบอยู่ในกรงแล้วคิดว่ามันคงจะเชื่องได้ หรือว่ากรงมันกว้างเกินไป จะทำให้เสือหาจุดอ่อนแล้วลอดกรงออกมาได้   และเด็กก็หยุดความคิดลง เพราะคิดว่าที่ตัวเองคิดเป็นแค่ความคิดของคนขี้กลัว เด็กคิดว่าหนานคำคงคุ้นเคยกับเสือดี  ถ้าไปเล่าให้หนานคำก็คงโดนหัวเราะเยาะ
                ฉันกลับคิดว่าความคิดของเด็กนั้นน่าสนใจนะคะ เพราะว่าสัตว์ป่านั้นเชื่องได้จริงหรือ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปตามสัญชาตญาณของมัน  ถึงแม้ว่ามันจะไม่ทำร้ายเรา แต่มันก็คงไม่ถึงกับอยากให้เราไปกักขังมันอยู่ในกรงเท่าไหร่หรอก  ฉันว่าสิ่งที่เด็กคิดนั้นมันมีทางที่จะเกิดขึ้นได้  เพราะดูแล้วหนานคำก็จะประมาทอยู่เพราะคิดว่าตนคุ้นเคยกันดีกับสัตว์ป่า   เหมือนอย่างเช่นสุภาษิตคำว่า หมองูตายเพราะงู   ฉันว่าถ้าเอาคำนี้มาพูดในเรื่องนี้ก็คงจะไม่ต่างกันทีเดียว  เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ของหนานคำนั้นยังไม่เกิดขึ้นนั้นเอง

ตีความ ชื่อบทกวี “รถด่วน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “รถด่วน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความได้ว่า
                ตอนนี้เล่าเรื่องของเด็กน้อยที่เล่นรถไฟต่อกันเป็นขบวนแล้วมีคนอีกสองคนที่คอยกักตัวไว้ การละเล่นอันนี้ดิฉันคิดว่ามันคือ การเล่นรีรีข้าวสาร  ที่มีวิธีการละเล่นที่คล้ายกันกับตัวบทที่ผู้ประพันธ์ได้เขียนไป   ในบทนี้มีการเปรียบเทียบกันของความรู้สึกของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของจิตใจคน  นั้นก็คือ การละเล่นนี้ในตอนแรก เด็ก ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน เมื่อมีมือผู้ใหญ่เข้ามาจับต่อขบวนเป็นการเล่นกับเด็ก ๆ มันก็ทำให้เกิดความอบอุ่น เมื่อผู้ใหญ่เป็นผู้นำ  แต่แล้วตัวบทก็กลับพูดถึงปัจจุบันที่มองว่าผู้ใหญ่สมัยนี้มีแต่ขึ้นขบวนรถไฟผีที่เร่งด่วนเสียจนไม่เหลือความอบอุ่นให้เด็กอีกแล้ว
                ดิฉันคิดว่า ในเรื่องนี้มันคือการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมสมัยนี้  ที่ผู้ใหญ่เอาแต่รีบเร่งที่จะทำธุระต่าง ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ความรักให้ความอบอุ่น  ให้ความเป็นผู้นำที่ดีให้กับเด็กได้พอสมควร  ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่นั้นมีความรัก  ความอบอุ่น  ใส่ใจ ดูแลเด็ก และอบรมสั่งสอนเด็กได้ดีกว่านี้  ตามแบบฉบับที่ผู้ใหญ่ควรจะทำ  มากกว่าเอาแต่ทำงานรีบเร่งไปตามเวลาแต่อย่างเดียว  จนลืมใส่ใจกับเด็ก ๆ เหล่านี้

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง ซอยเดียวกัน ของ วาณิช จรุงกิจอนันต์


รีวิวหนังสือเรื่อง ซอยเดียวกัน
ซอยเดียวกัน



ชื่อเรื่อง                   ซอยเดียวกัน
ผู้แต่ง                      วาณิช จรุงกิจอนันต์
สำนักพิมพ์             บูรพาสาสน์

                เรื่องนี้ฉันได้รับอารมณ์ที่สะเทือนใจเป็นอย่างมากในหลาย ๆ ความรู้สึก   ทั้งสนุก น่าตื่นเต้น  มีความสุข เสียใจ หมดหวัง  กลัว  และโดดเดียว   มันมีหลาย ๆ อารมณ์ที่ปะปนกันจนทำให้มันเกิดเป็นความรู้สึกหลายอย่างรวมกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวที่ว่านี้ก็ไม่สามารถแยกได้ว่ารู้สึกแบบไหนมากกว่ากัน  รู้แค่ว่ามันคืออารมณ์ที่ได้รับมาจากหนังสือเล่มนี้ที่พบได้แค่เพียงเล่มนี้เล่มเดียวเท่านั้น   คงต้องบอกว่ามันสะเทือนไปซะทุกอย่างจนไม่สามารถแยกได้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ทุกอย่างได้ปะปนและผสมกันออกมาแล้วเรียบร้อยในเนื้อหาของเรื่องสั้นแต่ละตอน  ฉันมองว่าถ้าหนังสือเล่มนี้มีชีวิต หนังสือเล่มนี้ก็คงจะมีความรู้สึกที่ซับซ้อนไม่ต่างจากคนทั่วไปเช่นกัน   และก็คงเป็นหนังสือที่มีเรื่องราวของชีวิตและประสบการณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายและมากมายทีเดียว