วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “มาลัยคนทุกข์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “มาลัยคนทุกข์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่ภาคใต้   เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น   คนภาคใต้ที่ประสบภัยต่างต้องรีบหนีออกมาจากที่อยู่อาศัยเพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยครั้งนี้  ต้องทิ้งบ้าน ทิ้งที่ทำมาหากิน   ทั้ง ๆ ที่กว่าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง  ทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากิน  แต่กลับโดนน้ำทำลายลงภายในพริบตา 

                ฉันเห็นด้วยกับผู้แต่งที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรรม   ความหมายของกรรมนั้นแปลว่า  การกระทำ  ซึ่งกรรมในครั้งนี้ก็เพราะการกระทำของคนที่ตัดไม้ทำลายป่า  เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินจนไม่สนใจว่าจะมีใครเดือดร้อนจากการหระทำของตนหรือไม่   และที่ทำให้การกระทำเหล่านี้ยังเป็นไปได้เรื่อย ๆ ก็เพราะว่าความโลภ  ถ้าเกิดคนที่ทำการตัดไม่ในครั้งนี้เป็นชาวบ้านทั่วไปก็คงจะเป็นเรื่องที่ปราบปรามได้ง่าย  แต่ถ้าคนที่ทำไม่ใช่ชาวบ้านล่ะ  แล้วเราจะเอาอะไรไปห้ามกับอำนาจของคนเหล่านั้นได้     ผลสุดท้ายทุกอย่างที่ผู้กระทำได้ก็ส่งผลต่อผู้อื่น  ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือผู้รับกรรม   ผู้รับกรรมไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรได้เลย  เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น    ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ แต่กลับต้องได้รับภัยพิบัติจากคนที่เห็นแก่ตัว   

                ฉันคิดว่าธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกนี้  ไม่ได้มีเพื่อทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในโลกนี้  แต่กฎของธรรมชาติคือเพื่อปรับสมดุลให้เข้ากับโลกมากกว่า   มันจึงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาเสมอ   แต่เมื่อสิ่งที่มนุษย์ทำกับธรรมชาตินั้นมันทำให้เกิดความสมดุลที่ผิดปกติขึ้นมา   จากเมื่อก่อนที่มีต้นไม้ดูดซับน้ำเวลาฝนตก  จากที่ไอน้ำจากแหล่งน้ำลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าจนเกิดเป็นฝน   ทุกสิ่งเหล่านี้มันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดจากสิ่งที่มันเคยเป็น  เพราะว่ามนุษย์ได้เริ่มเบียดเบียนธรรมชาติมากขึ้น  เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นมา ทุกอย่างที่เคยเป็นปกติของธรรมชาติก็ได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นภัยพิบัติแทน   หรือบางทีมันสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นอย่างปกติ เพียงแต่ว่าเราไม่มีที่ดูดซับมันได้ดีเหมือนเมื่อก่อน  จึ่งส่งผลให้เกิดเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงโดยที่ไม่สามารถกลับมาเป็นธรรมชาติที่เรารู้จักแบบเดิมได้

                ถ้าเกิดว่ามนุษย์เราเปลี่ยนความคิดที่จะเอาเปรียบธรรมชาติ การเป็นการพึงพาอาศัยกัน  ฉันคิดว่าภัยที่ร้ายแรงจนถึงขั้นสูญเสียชีวิตนั้นก็คงเกิดขึ้นได้น้อยมาก  เพราะธรรมชาติมันมีวิธีปรับตัวของมันเอง  เช่น ถ้าเวลาเกิดไฟป่าแบบธรรมชาติ ก็จะเกิดฝนตกเพื่อดับไฟป่า  ต่อให้ป่าโดนเผามากแค่ไหน ต้นไม้เหล่านั้นก็ยังสามารถที่เกิดขึ้นมาใหม่ได้ หมุนเวียนกันไปตามสิ่งที่มันเคยเป็น  ไม่ได้เผาล้างผลาญเหมือนที่คนจุดไฟเผาป่าแล้วเกิดไฟลามป่าจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นแบบทุกวันนี้


รีวิวหนังสือ เรื่อง ชีวิตคู่ขนาน ของ สุชาดา อาริยวัฒน์



รีวิวหนังสือ เรื่อง ชีวิตคู่ขนาน


ชีวิตคู่ขนาน




ชื่อเรื่อง                   ชีวิตคู่ขนาน
ผู้แต่ง                      สุชาดา   อาริยวัฒน์
สำนักพิมพ์             Post  Books


                หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ออกแนวสยองขวัญหน่อย ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล  เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพบชาติที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้   แต่ว่าถ้ามองในมุมสังคมฉันคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นค่านิยมต่าง ๆ ของคนต่างประเทศและคนไทย  

                ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัวเอกของเรื่องได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของตนเองตั้งแต่วัยเด็กที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตจนโตเป็นสาว   ชีวิตของเธอเจอเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาเลย  เพราะความสวยที่กลายเป็นภัยในเวลาเดียวกัน   ซึ่งเธอรอดตายมาได้เพราะวิญญาณบางตนได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้   ไม่ว่าจะในตอนที่อยู่ประเทศไทยหรือตอนอยู่ต่างประเทศก็ตาม 

                เราจะได้เห็นวัฒนธรรมของต่างประเทศว่าเขามีการมองผู้หญิงอย่างไร จีบกันอย่างไร   และสังคมในต่างประเทศมันอาจจะไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่เราคิด  ทุกประเทศมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเหมือนกันหมด เพียงแต่เราจะได้เจอคนแบบไหนเท่านั้นเอง  ไม่ใช่ว่าคนต่างประเทศจะหลอกลวงเรา หรือเอาเปรียบเราเสมอไป  เพราะคนไทยที่ไปเรียนด้วยกันที่นั้นก็ยังสามารถหลอกกันได้  ทั้ง ๆ ที่ควรจะช่วยเหลือกันมากกว่า มันทำให้เห็นว่าความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเรามาจากที่เดียวกันแล้วจะสามารถเชื่อใจไว้ใจกันได้   มันไม่ได้อยู่ที่เชื่อชาติ แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคลเหล่านั้นมากกว่า  

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เรือล่ม” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “เรือล่ม” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นการเปรียบเทียบความรู้สึกของคนในเรื่องความรักกับลมของทะเล   ฉันคิดว่าลมของทะเลนั้นไม่เคยมีอะไรแน่นอน ทั้งไม่เคยหยุดนิ่งและก็ไม่เคยที่จะรุ่นแรงจนไม่อาจจะเบาลงได้เลย   มันเป็นสิ่งที่พัดผ่านผื่นน้ำได้เร็วมากจนเราไม่อาจจะคิดหรือคาดหวังอะไรกับทะเลได้เลย

                ความรู้สึกของคนก็เช่นกันที่เปลี่ยนผ่านไปตามอารมณ์ที่แปรปรวนไม่ต่างจากลมของทะเล  เมื่อเช้าอาจจะอารมณ์ดีมาก พอผ่านไปไม่ถึง5นาทีอาจจะอารมณ์เสียขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ก็ได้   และสิ่งที่เรารู้ดีที่สุดก็คือเราไม่สามารถคาดหวังอะไรกับความรักได้เลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

                ความรักก็เหมือนกับสายลมที่บางทีก็ทำให้เรารู้สึกดีและบางทีก็ทำให้เรารู้สึกเศร้าเมื่อเสียบางอย่างไป ก็เหมือนเราอยู่ในทะเล เมื่อเรามั่นใจกับคลื่นลม เราเลือกที่จะลงเรือออกไปในผืนน้ำ แต่ว่าเมื่อมาได้สักพักหนึ่งเรากลับเจอพายุลูกเล็ก ๆ พัดมา เรือของเราก็ยังสามารถไปต่อได้  บางทีอาจจะรู้สึกสนุกเพราะมันเป็นสิ่งท้าทาย  แต่เมื่อพายุรุ่นแรงมากขึ้นจนถึงขั้นที่เรือของเราได้แตกหักพังลงไปไม่เหลือชิ้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือสนุกได้อีกต่อไป  เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้นอกจากปล่อยมันไป  ปล่อยตัวไปตามสายน้ำที่พัดร่างของเราซึ่งไม่มีทางรู้ว่าหลังจากนี้เราจะเจอกับอะไร  แต่เราก็คงต้องอยู่กับมันให้ได้  ถึงแม้ว่าเราจะไม่เหลืออะไรแล้วก็ตาม 

ความรัก ความรู้สึกของคนก็เช่นกันที่ไม่สามารถจะคาดเดาอะไรได้เลย  สิ่งที่ทำร้ายทุกอย่างให้พังลงไปมันก็คือความรู้สึกของตัวเราเองมิใช่หรือ  มันมีหลายวิธีที่จำทำให้เรือเราไม่แตกเมื่อเจอกับพายุ  แต่เรากลับเอาเรือแล่นไปสู้กับพายุลูกใหญ่ก็เพราะอารมณ์ของเราเอง  แทนที่เราจะค่อย ๆ ประคองเรือในพายุอย่างระมัดระวังและมีสติ เพื่อให้เรือของเราไปต่อได้ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการที่จะอยู่ร่วมกับพายุ ณ ตอนนั้นได้  แต่ถ้าเรายังอยากจะไปต่อกับเรือลำเดิม เราก็ควรให้เวลากับพายุที่ก่อตัวขึ้นในค่อย ๆ สงบลง  เราก็สามารถไปต่อและรักษาเรือลำเดิมไว้ได้ ถึงจะไม่ได้เป็นเรือที่สวยแบบเดิม แต่มันก็อยู่ที่เราว่าซ่อมมันให้กลับมาดูดีกว่าเดิมหรือจะปล่อยให้มีรอยร้าวมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะทำอะไรเลย  
                 


วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือ เรื่อง เจ้าชายน้อย ของ อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี ผู้แปล อำพรรณ โอตระกูล



รีวิวหนังสือ เรื่อง เจ้าชายน้อย


เจ้าชายน้อย



ชื่อเรื่อง                   เจ้าชายน้อย
ผู้แต่ง                      อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี
ผู้แปล                     อำพรรณ   โอตระกูล
สำนักพิมพ์             จินด์


                หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยหลาย ๆ คนคงรู้จักเมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้   หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านได้ทุกวัน  ต้องยอมรับเลยว่าการอ่านเล่มนี้ได้อะไรมากกว่าแค่ความคิดสร้างสรรค์   เพราะว่าเรื่องนี้ได้สอนให้เห็นถึงความรัก ความเข้าใจ มากกว่าอำนาจต่าง ๆ ที่เรายึดถือกันไปเอง

                บางทีเราอาจจะหลงอยู่กับอำนาจแต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ความหมายของชีวิตที่แท้จริง  ยิ่งเราจมปรักและยึดติดกับสิ่งเหล่านี้เราก็ยิ่งจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว  ไม่สนใจคนอื่น สุดท้ายเราก็ต้องอยู่เพียงคนเดียวบนโลก   คนหลายคนอาจจะคิดว่าการที่เรามีอำนาจ มีชื่อเสียง มีเงิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่มันเป็นสิ่งนอกกาย  มันจะทำให้เราได้รับการยอมรับจากคนอื่น   แต่ว่าคนอื่นที่เราอยากให้เขายอมรับ  เขานั้นยอมรับที่ตัวเราจริง ๆ หรือเพียงแต่เรามีในสิ่งที่เขาอยากได้   และการที่เราคิดว่าเราทำแบบนี้เพื่อสังคม  สิ่งที่เราทำอยู่เพื่อสังคม มันส่งผลต่อสังคมมากมายมหาศาล แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นกับทำเพื่อตัวเองมากกว่าเสียอีก

                สิ่งที่สำคัญสำหรับคนเรามากที่สุดนั้นคือความรัก   และก็เป็นความรักอีกเช่นกันที่เราต่างมองข้ามมันไป เพื่อไปไขว่คว้ากับสิ่งที่อยู่ภายนอกมากกว่าความรู้สึกของตนเอง  แต่ถ้าวันหนึ่งเราต้องเสียมันไป เราจึงจะรู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน  ความรักเป็นสิ่งที่แท้จริง  ไม่ใช่แค่การมีความรักกับคนรัก แต่มันรวมถึงความรักทุกรูปแบบ ถึงแม้ว่าบางทีเราอาจจะผิดหวังหรือเจ็บช้ำกับความรัก   แต่ว่าความรักมันก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเราเองมิใช่หรือ   มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้ด้วยตัวของเราเอง  

                บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวว่านั่นคือความรัก  แต่ถ้าวันหนึ่งเราขาดมันไป เราเศร้าที่จะอยู่โดยไม่มีมัน  ลองนั่งคิดเล่น ๆ ก็ได้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีเขาขึ้นมาเราจะเป็นอย่างไร  ไม่ต้องรีบคิดอะไรเยอะแยะ เพียงแต่รอเวลาไปเรื่อย ๆ ให้รักมันได้ทำหน้าที่ของมัน แล้วเราจะรู้เองว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนี้   ถึงแม้บางทีความรักของเราอาจจะไม่ใช่การครอบครอง แต่สิ่งที่ความรักมันเป็นของของเรานั้นก็เพราะสิ่งนั่นมันเกิดจากใจของเรา  ที่มีเพียงแค่เราคนเดียวที่รู้สึกได้ รับรู้ได้ มันจึงเป็นของ ๆ เราอย่างแน่นอน  ไม่มีใครสามารถจะสั่งหรือบังคับความรักกับเราได้นอกจากตัวของเราเอง

ตีความ ชื่อบทกวี “ขอดวงใจวรรณศิลป์ไม่สิ้นธรรม” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ขอดวงใจวรรณศิลป์ไม่สิ้นธรรม” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพของนักเขียนที่ใครหลาย ๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อน  บางทีอาชีพของนักเขียนหลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้มางาน ๆ อย่างที่ใครบางคนคิด  สายอาชีพนี้ต้องมีความอดทนอย่างมากกว่าจะผ่านไปแต่ละเดือน กว่าจะเขียนงานแต่ละชิ้น กว่าจะได้รับการตอบรับ กว่าจะได้ตีพิมพ์ ซึ่งมันต้องผ่านช่วงชีวิตที่ทรหดมาก กว่าจะได้กว่าจะได้หนังสือออกมาแต่ละเล่มออกมาวางขายได้ 

                ชีวิตของอาชีพนี้เหมือนจะง่ายแต่มันยากมากกว่าจะทำได้ กว่าจะเป็นที่ยอมรับ  ซึ่งเวลามันก็สามารถพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ได้เสมอ  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปใครหลายคนก็เลิกที่จะทำอาชีพนี้  เพราะมันไม่ง่าย มันไม่สวยหรูแบบที่คาดฝันไว้   ถ้าจะหวังเรื่องเงิน เรื่องชื่อเสียง เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ กับอาชีพนี้ คนที่จะอยู่กับงานที่เหนื่อยหนักและได้ผลตอบแทนน้อย ทุกอย่างไม่มีคำว่าคงที่และแน่นอน  

                ฉันคิดว่างานทุกงานทุกสาขาอาชีพเป็นงานที่หนักและเหนื่อยเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าอาจจะหนักและเหนื่อย หรือเจอปัญหาที่ต่างกันมากกว่า  ไม่มีงานไหนที่ง่ายและไม่มีงานไหนที่ยาก ฉันคิดว่าความยากหรือง่ายอาจจะไม่ได้อยู่แค่ตัวงานที่เราเลือก  แต่มันอยู่ที่ความรักและความชอบของเรามากกว่า  ไม่มีใครที่จะทนอยู่กับงานที่เราไม่ชอบได้  ไม่มีใครที่จะสามารถอดทนกับความลำบาก ความเครียด แบกรับปัญหาต่าง ๆ ได้ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้รักงานนั้นจริง ๆ คนทุกคนต่างมีเงื่อนไขความต้องการของชีวิตที่ต่างกัน จุดนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้เราเป็นตัวของเรา อยู่ร่วมกับอุปสรรค์ต่าง ๆ ได้พร้อมจะก้าวผ่านทุกปัญหาได้ก็เพราะรัก

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือ เรื่อง ครูไพบูลย์ เป๋หลังค่อม ผู้ไม่ยอมจำนนต่อคำเย้ยหยัน ของ ไพบูลย์ พันธ์เมือง


รีวิวหนังสือ เรื่อง ครูไพบูลย์ เป๋หลังค่อม ผู้ไม่ยอมจำนนต่อคำเย้ยหยัน


ครูไพบูลย์ เป๋หลังค่อม ผู้ไม่ยอมจำนนต่อคำเย้ยหยัน



ชื่อเรื่อง                   ครูไพบูลย์ เป๋หลังค่อม ผู้ไม่ยอมจำนนต่อคำเย้ยหยัน
ผู้แต่ง                      ไพบูลย์ พันธ์เมือง
สำนักพิมพ์             อินสปายร์


                เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของครูไพบูลย์   ซึ่งครูไพบูลย์นั้นโดนดูถูกจากคนในสังคมที่เชื่อว่าคนที่ไม่สมประกอบจะไม่สามารถทำงานได้  ไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้   มีแต่คนดูถูกไม่มีใครยอมรับความบกพร่องทางร่างกายของครูไพบูลย์เลย   เมื่อครูไพบูลย์ตั้งใจจะบวชเณรเพื่อเรียนหนังสือก็กลับมีคนดูถูกว่ามาอาศัยวัดอยู่ หาเงินกับวัด เป็นมารศาสนา

                แต่ว่าคำดูถูกต่าง ๆ ของคนรอบข้างก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ครูไพบูลย์ไปได้ไกลกว่าเดิมเพิ่มมากขึ้น  เพราะครูไพบูลย์เป็นคนที่อดทนต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว   ไม่ยอมให้คำเหล่านี้มาทำลายชีวิต  เพราะชีวิตเป็นของท่าน  จะเป็นอย่างไรอยู่ที่ตัวของตนเองไม่ใช่คำจากปากของคนอื่น

                ซึ่งครูไพบูลย์ก็ได้ทำสำเร็จแล้ว  ท่านได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า  อนาคตอยู่ที่เราเลือกไม่ใช่คำจากปากของใคร   ฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับทุกคน  เพราะว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะสังคมไหนก็ตาม ไม่ว่าร่างกายจะครบหรือไม่ครบก็ตามแต่  ย่อมที่จะถูกบุคคลอื่นคอยดูถูกอยู่เสมอแล้ว  แล้วถ้าเกิดเราเลือกที่จะยอมแพ้เพราะคำพูดของคนอื่น ก็เท่ากับเรายอมรับว่าเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ถ้าเราคิดจะสู้  ทำชีวิตให้ดี ทำอนาคตให้ดี  คนเหล่านั้นก็จะแพ้ภัยตัวเองไปแทน 

                หนังสือเล่มนี้สอนหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิต  ทำให้เห็นว่าทุกคนมีปัญหาของตัวเอง  และจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวของเรา ไม่จำเป็นว่าคนรวยจะดีกว่าคนจน หรือคนจนจะดีกว่าคนรวย  แต่มันอยู่ที่การใช้ชีวิตของเรามากกว่า  และมันอยู่ที่ความคิดของเราว่าจะจัดการกับปัญหาอย่างไร  ชีวิตทั้งชีวิตของเรามักจะมีปัญหาเข้ามาเสมอ แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะเลือกทางเดินให้กับตนเองอย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “เจ้าสาย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์


ชื่อบทกวี “เจ้าสาย” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้ทำให้เห็นถึงความคิดถึงใครสักคนที่ทำให้เราลืมไม่ลงจริง ๆ เป็นความคิดถึงที่โหยหาแต่ไม่สามารถส่งไปถึงได้ ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรอยู่

                ในบทนี้คำว่าเจ้าสายนั้น  ชื่อเดียวกันแต่สื่อได้ถึงสองคน ซึ่งเจ้าสายคนแรกที่กล่าวถึงก็คือพี่สาว และเจ้าสายอีกคนก็คือชายหนุ่ม  ซึ่งทั้งสองคนนี้ได้จากไปอย่างไม่สามารถที่จะพบเจอกับผู้เล่าเรื่องได้อีกแล้ว สิ่งนั้นก็คือ ความตาย แต่ว่าความตายในบทนี้มีอยู่สองแบบคือ  ตายแบบหมดสิ้นลมหายใจ กับ ตายไปจากใจของผู้แต่งนั่นเอง

                เราจะเห็นว่าเจ้าสายที่เป็นพี่สาวที่ผู้เล่าเรื่องคิดถึงนั้น  ได้ตายจากไปแบบที่หนึ่ง  ซึ่งก็คือการตายแบบหมดสิ้นลมหายใจ  และได้กลายเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ไปแล้ว   ส่วนเจ้าสายที่หมายถึงชายหนุ่ม คือการตายไปจากใจผู้เล่าเรื่อง  หนุ่มคนนี้อาจจะเป็นคนรักของเธอก็ได้  ที่จากเธอไปแบบไม่มีวันกลับมา  เพราะเจ้าสายคนนี้คือคนที่ทำให้ผู้เล่าเรื่องรู้สึกสุขใจ ดีใจที่ได้พบเจอ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานสวยงาม  แต่เมื่อไม่ได้เจอ ทุกอย่างก็พลันมืดมนเป็นทุกข์ไป เหมือนกับพระจันทร์ที่มีเมฆมาบดบังแสงทำให้ห้องไม่สว่าง 

                ฉันคิดว่าในความหมายของพระจันทร์กับดอกไม้นั้นเหมือนกัน นั่นก็คือความรู้สึกของผู้หญิง  ถ้าเปรียบเป็นดอกไม้เราจะเห็นได้ว่าถ้ามีความสุขดอกไม้จะบาน แต่ถ้าทุกข์เมื่อไหร่ดอกไม้จะเฉาทันที  ส่วนพระจันทร์ก็เป็นผู้หญิงอีกเช่นกัน  เพราะว่าพระจันทร์มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบกับความสวยงามอยู่แล้ว  แต่ถ้าพูดถึงแสงของพระจันทร์นั่นก็คือ ความสุขความทุกข์ของผู้หญิงอีกเช่นกัน

เจ้าสายทั้งสองของบทนี้มีความสำคัญกับชีวิตของผู้เล่าเรื่อง  เพราะทั้งสองส่งผลกระทบต่อผู้เล่าเรื่องโดยตรง แต่ความสุขและทุกข์ต่างกัน   กับเจ้าสายที่เป็นพี่สาวนั่น เป็นความรู้สึกที่คิดถึงละลึกถึง แต่เจ้าสายที่เป็นชายหนุ่มนั่นให้ความรู้สึกที่สิ้นหวัง คิดถึงในอารมณ์หม่น ๆ โหยหาที่อยากจะเจอ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเจอได้อีกแล้ว  แต่สิ่งที่สองคนนี้เกี่ยวข้องกับผู้เล่าเรื่องก็คือ สองคนนี้ไม่สามารถที่จะกลับมาเจอกับผู้เล่าเรื่องได้อีกแล้ว  และเรื่องของความรู้สึกเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่า เมื่อไหร่เราจะเลิกเสียใจและจมอยู่กับความทุกข์ได้เสียที



วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “แด่ พี่รัตนา พี่โกมล” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์


ชื่อบทกวี “แด่ พี่รัตนา พี่โกมล” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ
            
             กลอนบทนี้ทำให้เราเห็นบางสิ่งบางอย่างในสังคมอีกด้านหนึ่ง  ซึ่งเป็นด้านที่ไม่น่ามอง  แต่ก็ควรที่จะรู้  บางสิ่งบางอย่าง  คนบางคนพยายามสร้างมันมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของเขากว่าของบางอย่างจะโตได้ในทุกวันนี้ก็แสนยากเย็น   มันคือความหวังของคนที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้อนาคตนั่นดีกว่าตอนนี้ 
            
             แต่ว่า การสร้างมาที่แสนยากลำบาก ความเสียสระ กลับไม่คุ้มค่าที่จะเสียสักเท่าไหร่เมื่อมันไม่ได้เป็นไปแบบที่เราหวังเอาไว  การสร้างอาจจะยากแต่ว่าการทำลายมันมักง่ายเสมอ   อดีตนั่นมันมีความหมายแค่กับคนบางคนเท่านั้น  แต่ว่ามันไม่ใช่กับทุกคนบนโลกนี้  
เรื่องในอดีตและสิ่งต่าง ๆ ในอดีตมันไม่สามารถลุกขึ้นมาฟ้อง มาบอก มาพูด มาเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเวลานั้นได้  เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งใหม่เข้ามา คนใหม่เข้ามา เป็นธรรมดาที่อดีตมันจะค่อย ๆ จากหายไป ความจริงของอดีตก็ย่อมที่จะจางหายไปอยู่แล้ว  เพราะคนที่อยู่บนโลกนี้ในตอนนี้คือคนที่เกิดมาใหม่  ไม่ใช่คนในอดีตที่เคยมีตัวตนอยู่

ฉันคิดว่าลบเลื่อนอดีตบิดเบือนอดีตมันก็ไม่ต่างจากการถอดต้นไม้  ถ้าฉันเปรียบว่าต้นไม้ตนหนึ่งซึ่งเป็นต้นใหญ่และมีอายุยาวนานมาก  ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาเป็นที่ละลึกของคนหลาย ๆ คนก็ตาม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ขึ้น ๆ คนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมา สิ่งที่ต้นไม้เคยมีมันก็จะเป็นเพียงเรื่องเราที่เราไม่สามารถรู้ว่ามันจริงไม่จริง  และถ้ามีคนต้องการจะลบความทรงจำของคนรุ่นก่อนออก ก็เพียงแค่ถอนต้นไม้ต้นนี้ออกไปจากที่ตรงนั้น แล้วรอให้คนรุ่นเก่าตายไปพร้อมกับต้นไม้  ถึงแม้จะมีคนรุ่นใหม่ที่เคยได้ยินเรื่องของต้นไม้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกับต้นไม้แรงกล้าเหมือนคนรุ่นเก่าจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจึงค่อย ๆ เลือนหายไป ถึงอาจจะไม่ได้หายไปในทันทีทันใดก็ตาม  แต่มันก็ได้ตายไปจากความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว  แล้วสุดท้ายสิ่งที่เหลือก็จะเป็นเพียงความว่างเปล่า
               




ตีความ ชื่อบทกวี “เหงาคิดถึง” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใด เลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “เหงาคิดถึง” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใด
เลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทความนี้ทำให้ฉันได้เห็นความรู้สึกของตัวละครในเรื่องที่ต้องเดินทางจากบ้านของตัวเองไปไกลแสนไกล  และไม่เข้าใจแม่ความคิดของแม่  ที่อยู่ ๆ เธอก็ได้ข่าวว่าแม่ได้ขายนาไปแล้ว  มันจึงทำให้เธอได้แต่คิดน้อยใจว่าแม่นั่นไม่รักเธอเลย

                ในบทนี้ภาพแรกที่เห็นคือภาพการจากลาของเธอและอีกคนหนึ่ง ซึ่งฉันขอตีความว่าเป็นแม่ก็แล้วกัน   ภาพที่เธอเห็นแต่เธอไม่สามารถที่จะวาดมันออกมาได้นั่นก็คือ ภาพที่แม่นั่นได้มาส่งเธอขึ้นรถ เพื่อไปที่อื่น  แม่ได้แต่ยิ้มหม่น ๆ ให้กับเธอ ส่วนเธอร้องไห้และโบกมือลาแม่   เธออาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องไป เพราะว่าจากที่บทกลอนกล่าวมามันแสดงให้เห็นความรู้สึกเศร้า เหงา หง่อย สับสน  และไม่เช้าใจอย่างชัดเจน

                ส่วนภาพที่สองคือเธอนั่งอยู่คนเดียวและได้แค่คิดน้อยใจกับข่าวที่เธอได้ยินมานั่นก็คือ ข่าวที่แม่ขายนาไปแล้ว  และข่าวนี้ยิ่งทำให้เธอได้มีความรู้สึกติดลบลงไปอีก เพราะมันเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าแม่ไม่ได้รักเธอ  เพราะแม่ขายที่น้าทิ้งแล้ว ซึ่งหลังจากนี้เธอก็ไม่สามารถที่จะกลับไปที่บ้านได้อีก  และเธอก็ไม่รู้ว่าแม่ของเธอนั่นจะไปอยู่ที่ไหนหลังจากขายนาไปแล้ว


วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง เรื่องของน้ำพุ ของ วงศ์เมือง นันทขว้าง


รีวิวหนังสือเรื่อง   เรื่องของน้ำพุ

ชื่อเรื่อง                   เรื่องของน้ำพุ


ชื่อเรื่อง                   เรื่องของน้ำพุ
ผู้แต่ง                      วงศ์เมือง   นันทขว้าง
สำนักพิมพ์             บูรพาสาส์น


                หนังสือเล่มนี้หลายคนเคยอาจได้ยินผ่านหูกันมาแล้วบ้าง  เพราะมีการตีพิมพ์เป็นทั้งหนังสือและมีการสร้างเป็นละครอยู่หลายครั้ง    ในเรื่องนี้มันเป็นภาพสะท้อนในสังคมไทยที่ดี  มันทำให้เราเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาที่ทำร้ายสังคม   แต่การที่จะมีสิ่งที่ทำร้ายสังคมได้  มันก็เกิดจากการที่ถูกสังคมทำร้ายก่อนไม่ใช่หรือ

                ในเรื่องนี้มันสะท้อนให้เห็นว่า คนที่ติดยานั้นมีปัญหาต่าง ๆ ที่มาจากสังคมทั้งนั้น  ไม่ว่าจะครอบครัว หรือเพื่อน   การที่มีการระบาดของยาเสพติดฉันคิดว่ามันเป็นการที่คนเหล่านี้หลีกหนีปัญหาสังคมที่พบเจอ เพื่อเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งมีความสุขในภาพมายามากกว่าความทุกข์ที่พบอยู่ในชีวิตจริง  

                ถ้ามองจากเรื่องเพื่อน เราก็จะเห็นว่าคนที่เลือกที่จะเข้าหาสิ่งเสพติดก็เพราะต้องการให้เพื่อนยอมรับ   หรือถ้ามาจากปัญหาครอบครัว ที่มาก็ไม่ต่างจากปัญหาอื่น ๆ เท่าไหร่   เพียงแค่คนเหล่านี้ต้องการให้มีคนยอมรับเขา  มากกว่าการดูถูก บีบบังคับ เสียมากกว่า   ฉันคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้ในสังคมมันก็ยังมีอีกมากที่เราไม่รู้  และสมควรที่จะนำมาเป็นบทเรียนของสังคมเพื่อช่วยกันแก้ไข  คนทุกส่วนที่อยู่ในสังคมมีความผิดด้วยกันทั้งนั้น  แต่เราไม่รู้หรอกว่าการกระทำของเราที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว อาจจะไปทำให้ใครบ้างคนรู้สึกแย่จนต้องเข้าหายาเสพติดก็ได้