วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง เมื่อ...น้ำใสไหลริน ของ สิริมา อภิจาริน



รีวิวหนังสือเรื่อง   เมื่อ...น้ำใสไหลริน


รีวิวหนังสือเรื่อง   เมื่อ...น้ำใสไหลริน



ชื่อเรื่อง                   เมื่อ...น้ำใสไหลริน
ผู้แต่ง                      สิริมา   อภิจาริน
สำนักพิมพ์             Plost  Books

          
      หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของความรัก   ซึ่งมีเนื้อหาที่ครบทุกรสชาติเลยจริง ๆ ความรักของแต่ละคนคำนิยามก็ต่างกัน  ความรู้สึกก็ต่างกัน   แต่เหตุการณ์บางอย่างอาจจะเหมือนกันได้ในบางช่วง   เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกว่าทำไมคนเราถึงชอบเรื่องราวของความรัก   อ่านกี่เรื่องหรือกี่ครั้งเราก็ยังอินไปกับมันได้เสมอ  

ความรัก ความรู้สึกของแต่ละเรื่องเราไม่สามารถคาดเดามันได้เลย   ถึงแม้บางทีเราอาจจะอยากให้มันจบแบบสวยงาน   แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะจบกันแบบแฮปปี้เอนได้  เราจึงไม่สามารถคาดหวัง หรือมีกฎตายตัวของความรักได้เลย   บางเรื่องจุดเริ่มต้นมาดี  แต่จุดจบกับมีน้ำตา  

ถ้าคุณสนใจที่จะลองเปิดกว้างความรักจากประสบการณ์ของหนังสือเล่มนี้   มันคงเป็นเรื่องราวที่ดีอีกเรื่องหนึ่งให้คุณเดินทางมาพบกับความรัก   ที่มีทั้งสมหวังและความทุกข์  บางทีมันอาจจะสะท้อนความรู้สึกบางอย่างของการอยู่บนโลกในนี้ได้อย่างตลกร้าย จนแอบคิดในใจขึ้นมาว่า  เออมันก็จริง  หรือ อืม...นั่นสินะก็ขึ้นมาก็ได้   ลองมาผจญภัยกับเรื่องราวรักๆ ที่อาจจะมีรอยร้าวดูบ้างเล็กน้อยคงไม่เสียหายอะไร

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ไม่น้อยใจ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ไม่น้อยใจ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

         
              ในบทกลอนนี้ฉันเห็นถึงพลังและความมุ่งมั่นที่เข้มแข็งมาก   พลังในการผลักดันตัวเองให้กล้าที่จะเผชิญกับทุกอย่างที่พร้อมจะเข้ามาปะทะทั้งกับร่างกายและจิตใจ   ไม่คิดจะถอย ไม่คิดจะเอาใครเป็นที่พึ่งนอกจากตัวของตัวเองเท่านั้น

                หลาย ๆ คนคงคิดว่าบางอย่างเราอาจจะทำไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่เคยที่จะลองทำมันเลยสักครั้ง  หรือบางคนอาจจะคาดหวังสิ่งต่าง ๆ จากคนอื่นมากเกินไป   คิดว่าทุกสิ่งมันมีแต่ความสวยงามไม่ว่าจะกับตัวเราเองหรือกับคนอื่นก็ตาม   ถ้าวันหนึ่งเราผิดหวังในตัวเอง  เรากลับพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยน พร้อมที่จะแก้ไข พร้อมที่จะให้โอกาสตัวเอง  เมื่อเรากลับยอมรับตัวเอง และไม่คิดว่าตัวเองผิดถึงขนาดที่ไม่มีค่าอะไรเลย   แต่ในทางกลับกัน  ถ้าคนอื่นทำเราผิดหวัง ทำไมเราถึงได้เสียใจและยอมรับไม่ได้ในความผิดหวังครั้งนี้   ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ต่างเคยผิดหวังในตัวเองมาแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมพอคนอื่นทำเราผิดหวัง ทำไมถึงได้เศร้า เสียใจ และรับผลมันไม่ได้ขนาดนี้กันนะ

                มันก็คงไม่แปลกที่บางทีเราจะคาดหวังกับคนอื่นมากไป  มันอาจจะเป็นความเชื่อใจและมั่นใจว่าเขาไม่ทำให้เราผิดหวัง  เราเลยไม่เคยเผื่อใจไว้  ว่าถ้าเกิดมีบางอย่างต่างไปจากที่เราหวังไว้มันจะเป็นอย่างไร  เราต่างหวังที่จะให้เขาทำหรือเป็นไปตามที่เราหวัง  แล้วถ้าเขาทำไม่ได้เราก็ผิดหวัง และเสียใจกับสิ่งนั้นมาก   ถ้าจะถามว่าฝ่ายนั้นผิดไหมที่ทำไม่ได้อย่างที่เราหวังไว้  ฉันว่าบางทีเขาอาจจะไม่ผิดมากขนาดนั้นก็ได้  เพราะเขาก็คือคนธรรมดาสามัญทั่วไป ที่สามารถผิดพลาดกันได้  ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดหรอก  แต่ที่เราคิดว่ามันเป็นความผิดร้ายแรง และมากเกินจะให้อภัยได้  มันก็คงเป็นเพราะตัวของเราเองมากกว่า  ที่ไม่คิดจะเผื่อใจไว้บ้างจนทำให้เราเจ็บหนักแบบนี้

                ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะพึ่งตนเอง  คนทุกคนไม่มีสิ่งไหนที่ทำไม่ได้  เพียงแต่มันมีแค่ทำได้ดีกับทำได้ไม่ดี   แต่ถ้าเราเลือกที่จะยอมแพ้ต่อความรู้สึกของตนเอง  เราลองพยายามไปเรื่อย ๆ แบบไม่ย่อท้อ มันก็จะเห็นผลวันข้างหน้าเอง   การที่เราเลือกที่จะพึ่งคนอื่นมันไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้   แต่มันคือการที่เราคาดหวังว่าเขาทำได้ดีกว่าเราแน่นอน   มันก็เลยกลายเป็นว่าเราให้คำนิยามกับคำว่า ทำไม่ได้ ไปโดยปริยาย

                ฉันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเข้มแข็งตลอดเวลาไม่คิดจะพึ่งใครอะไรเลย   เพียงแต่อยากให้ลองเผื่อใจเอาไว้บ้าง  ลอง
เปลี่ยนจากการร้องขอให้เขาทำให้เรา เป็นการที่เราทำให้เขาบ้างสิ  ผลัดกันให้ผลัดกันรับ  ถ้าเขาให้เรา  เราก็รับ  ถ้าเราให้เขา เขาก็รับ  โดยที่ไม่ต้องคาดหวังว่ามันจะต้องดีกว่าเดิม  เราต้องได้มากกว่าเดิม   บางทีการเป็นผู้ให้ในบางครั้งเราอาจจะสบายใจและสนุกกว่าการที่เราเป็นฝ่ายร้องขอก็ได้     

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “หยิ่งพอ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “หยิ่งพอ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ต้องขอบอกก่อนเลยว่า  ความรักมันก็มีช่วงเวลาของมัน   ความรักก็มีวันหมดอายุ  เราอาจจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเวลาจะมาถึงเมื่อไหร่  เพราะมันเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถควบคุมได้   ถ้าถามว่าใจคนเราแพ้อะไร  ทำไมถึงหมดอายุ  ก็คงต้องตอบตามความเป็นจริงว่า แพ้ของใหม่  สิ่งใหม่ที่เล้าใจกว่าเดิม  ความรู้สึกใหม่ที่ทั้งท้าทายและตอบสนองความรู้สึกใหม่ ๆ ของเราได้ ทำให้ชีวิตมีสีสันและไม่น่าเบื่อเหมือนอย่างทุก ๆ วัน   ซึ่งคนประเภทนี้มีเยอะมากในสังคมของเรา   มันก็คงไม่แปลกอะไร ที่จะมีทั้งคนอกหักทุกนาที และมีคนบอกรักเป็นสุขสมหวังทุกเวลา

                ถึงในโลกนี้จะมีคนรักง่ายหน่ายเร็วเยอะก็ตาม  แต่ก็ไม่ใช่ว่าในโลกนี้จะไม่มีคนที่มั่นคงในความรักเลย   มันต้องมีใครสักคนบนโลกที่รักเราในแบบที่เราเป็น  ยอมรับในข้อเสียของเราได้  พร้อมปรับตัวเข้าหากัน  เข้าใจ เชื่อมั่น มั่นคง และเชื่อใจได้  ที่จะก้าวเข้ามาในโลกของเราและพร้อมที่จะใช้ชีวิตทุกวันไปกับเราได้  จนกว่าจะถึงวันที่หมดลมหายใจของชีวิต

                ฉันคิดว่า   ความรักที่เกิดจากรักจริง ๆ มันอาจจะไม่ต้องหวาน  ไม่ต้องงอแง  ไม่ต้องออดอ้อน ไม่ต้องขอให้เขาทำอะไรเพื่อเรา   เพราะรักก็คือรัก   ไม่จำเป็นต้องขอให้รัก  หรือต้องเรียกร้องให้เขาสนใจ  ถ้าคนเขารัก  ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รัก  รักแบบที่เราเป็น และทำเพื่อเราโดยที่เราไม่ต้องขอเขาสักอย่าง  ไม่มีข้อแม้ใด ๆ หรืออะไรเป็นการตอบแทนแลกเปลี่ยนกัน  มีแค่ความรักและเข้าใจ  ทุกอย่างก็พร้อมที่จะอยู่คู่กันได้   และมันก็คงไม่แปลกอะไร  ถ้าจะมีใครสักคนพร้อมที่จะอยู่หรือพร้อมที่จะออกไปจากชีวิตเราได้เสมอ

                สำหรับในความคิดของฉัน   ฉันคิดว่าคนบางคนอาจจะเหมือนแคร์ในบางครั้ง  เหมือนเราสำคัญ หรือจะเห็นค่าของเราเมื่อเขาต้องการอะไรจากเรา  ถ้าเจอคนแบบนี้เขาอาจจะมาง้อคุณเพื่อขอให้คุณช่วยเหลือเขาอีกครั้ง และอีกครั้งโดยไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าการที่เขาเลือกที่จะง้อคุณด้วยเหตุผลแบบนี้   ฉันว่าไม่ต้องง้อกันเสียดีกว่า ต่างคนต่างอยู่คงจะดีกว่าต้องตกเป็นเครื่องมือของใคร

                แต่ถ้าคุณเจอคนที่เขาทำเหมือนไม่สนใจคุณเวลาคุณอยู่กับเขา  แต่เขาแคร์คุณเสมอ  คุณคงรู้ดีว่าคนที่คุณคุยอยู่หรือคบอยู่นั้นเป็นคนอย่างไร  เขาอาจจะดูนิ่ง ๆ เหมือนหยิ่ง เหมือนไม่สนใจใคร  ไม่ค่อยแคร์ใคร  ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยตอบอะไรใคร  แต่เขากลับยอมคุยกับคุณทุกวัน  เวลามีปัญหาเขาไม่เคยขอร้องให้คุณมาช่วยอะไรเขาเลย   เวลาคนอื่นทะเลาะกับเขา  เขามักจะปล่อยผ่านเสมอไม่สนใจอะไร และไม่คิดว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร  แต่ว่าถ้ากับคุณถ้าเราทะเลาะกัน  เขามักจะยอมบอกความรู้สึกของเขาออกมา  อธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้คุณฟังบอกความรู้สึกของดขาให้คุณได้รับรู้ โดยที่เขาไม่ขอให้คุณเชื่อในสิ่งที่เขาพูด  เขาไม่ง้อคุณแบบคนอื่น ๆ นิยมทำกัน แต่เขากลับเลือกที่จะพูดกับคุณด้วยเหตุผลที่เขามี   เมื่อเขาอธิบายทุกอย่างจบ  เขาจะไม่ขอให้คุณอยู่กับเขา  หรือเลือกเขา  เขาพร้อมที่จะยอมรับการตัดสิ้นใจของคุณ   เพราะเขาคิดว่าคุณคิดดีแล้วที่ตัดสินใจแบบนี้

                คนแบบนี้อาจจะเหมือนคนเข้มแข็งที่พร้อมจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่ต้องมีใคร   บางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่เสียใจที่ต้องเสียใครไปอีกในชีวิตนี้  แต่เขาแค่ยอมรับในสิ่งที่คุณเลือก  เขาไม่ยื้อ  ไม่รั้ง  เพราะการที่คุณเลือกที่จะไป มันก็หมายถึงคุณพร้อมที่จะไปจากเขาจริง ๆ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร  ถ้าหากเขาต้องลดคุณค่าของตัวเองลงเพื่อรั้งให้คน ๆ หนึ่งที่ไม่เห็นคุณค่าของเขาในชีวิตอีกแล้ว
                  

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “พันธนาการ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “พันธนาการ” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ในบทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่และพันธนาการที่แตกต่างกัน  เราไม่สามารถรู้ได้ว่า หน้าที่ของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ฉันเชื่อว่าคนทุกคนมีหน้าที่ของตนเอง และแต่ละหน้าที่มันก็คงจะมีปัญหาและอุปสรรค์ต่างกันไปของแต่ละคน  เราจึงไม่สามารถตัดสินปัญหาหรือหน้าที่ของใครได้ถ้าเกิดเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับคนผู้นั้น

                ในชีวิตของคนเรา  คนทุกคนย่อมมีมรสุมชีวิตที่เข้ามาในแต่ละช่วงของชีวิต  บางทีอาจจะหนักบ้างหรือเบาบ้างไปแต่ละช่วงของชีวิต  แต่ก็คงไม่มีใครที่ไม่เคยพบกับสิ่งเหล่านั้นเลย   และสิ่งที่ทำให้เราผ่านมันไปได้ก็คงมีเพียงไม่กี่สิ่งที่ยังทำให้เราผ่านมันไปได้ถึงแม้หน้าที่หรือช่วงเวลานั้นมันอาจจะหนักเกินกว่าเราจะรับไหว นั้นก็คือ อดทน มุ่งมั่น ตั้งใจ ถ้าเราสามารถอดทนกับปัญหาที่พบ กับหน้าที่ที่เราทำอยู่  มุ่งมั่นที่จะฝ่ามันไปให้ได้  พัฒนาตนให้ดีกว่าเดิม  และตั้งใจที่จะทำมันให้สำเร็จ   ถ้าเราไม่คิดจะยอมแพ้ก็คงไม่แพ้ เพราะไม่มีอะไรที่จะทำให้เราแพ้ได้นอกจากใจของเราเองมากกว่า

                แต่ว่าการที่เราจะทำทุกอย่างให้ชนะมันอาจจะไม่ง่าย และไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ไม่มีทางรัดของการแก้ปัญหา เพราะถ้าเราแก้มันแค่ให้ผ่าน ๆ ไป สุดท้ายเราก็จะเจอกับปัญหาใหม่เข้ามาอีก  แล้วถ้าเราไม่ยังหาทางรัดในการแก้มัน โดยที่เราไม่ได้ลงมือลงแรงใช้ใจไปกับมันจริง ๆ มันก็จะเป็นปมที่ผูกกันมากขึ้น ๆ และสุดท้ายก็คงเป็นปมที่มันฆ่าเราให้ตายเอง

แต่ถ้าเราอดทนแล้วตั้งใจฝ่ามันไปให้ได้เราจะรู้คุณค่าของชีวิตมากขึ้น มันจะทำให้เราเห็นถึงความอดทน เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าต่อให้เจอปัญหาอะไร หน้าที่เราในการรับผิดชอบไม่ว่าสิ่งใดก็ตามจะหนักหนาแค่ไหน เราก็สามารถผ่านมันไปให้ได้  คนเราคงไม่มองปัญหาที่พบใหม่ว่าเล็กกว่าเดิมหรอก  เพราะเรามักคิดว่ามันยากมากกว่าที่ผ่านมา แต่มันก็จะทำให้เราคิดย้อนไปว่า เอาวะ ขนาดตอนนั้นเรื่องนั้นยังผ่านมาได้เลย แล้วเรื่องนี้จะยอมง่าย ๆ แบบนี้เหรอ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครคิดที่จะยอมได้  ถ้าหากว่าเคยเจอมรสุมลูกที่หนึ่งไปแล้ว     

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ประจักษ์ทุกข์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์


ชื่อบทกวี “ประจักษ์ทุกข์” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                ในบทนี้ทำให้เห็นว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันก็คือใจของเราเอง  ความกลัวทุกสิ่งทุกอย่างมันมาจากภายในใจของเราเอง  ยิ่งเราหนียิ่งเรากลัว  มันก็จะคอยหลอกหลอนเราไปทุกที เหมือนเงาตามตัว  เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหนีมันพ้น  ไม่ว่ายังไง เราก็ไม่อาจรอดจากสิ่งเหล่านี้ได้

                ฉันคิดว่าความกลัวของคนเรามักจะมาจากจิตสำนึกที่เกิดการปรุงแต่งขึ้นมาของแต่ละคน  ตามประสบการณ์ของแต่ละคนที่เคยพบเจอ   ถ้าเปรียบก็คงเหมือนกันตอนเด็ก ๆ ที่เรามักจะโดนผู้ใหญ่หลอกเสมอว่าถ้าดื้อผีจะมากินตับ  หรือการเล่นซ่อนแอบที่มักจะบอกว่าเดี๋ยวผีมาจับไปอยู่ด้วย   ซึ่งสมัยตอนเป็นเด็กทุกคนคงจะจำได้ดี ว่าตนกลัวมันมากแค่ไหน  ทั้งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น  แต่เราก็ยังกลัว  กลัวมันจะมากิน กลัวมันจะมาจับไปแล้วไม่ได้อยู่กับแม่   ทุกอย่างที่กล่าวมามันก็คือความกลัวของเราที่สร้างขึ้นมา  จนเมื่อเราโตขึ้นมาในระดับหนึ่ง  เราอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้กลัวมากเท่าเมื่อก่อนแล้ว 

                มันคงไม่แปลกที่มนุษย์ทุกคนจะมีความกลัว  จริง ๆ ฉันคิดว่าความกลัวของเรามันมีตั้งแต่เกิดจนตาย  ซึ่งแต่ละคนอาจจะกลัวไม่เหมือนกัน   เพราะมันคือความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนและมันคือปัญหาที่มีแค่ตนเองเท่านั้นที่จะเอาชนะมันได้   ลองย้อนกลับมามองตัวเองก็ได้  แต่ละปัญหาแต่ละอย่างในชีวิตที่เราเคยกลัว  เรารู้สึกแย่แค่ไหน ทรมานแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน   แต่เราก็ยังผ่านมันมาได้อยู่ดีเมื่อเราพร้อมเผชิญกับความกลัวภายในใจของเราเอง  บางคนอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเอาชนะสิ่งเหล่านั้นมาได้แล้ว   ถ้าไม่เชื่อคุณลองมองดูตัวเองสิ คุณเห็นไหมทุกวันนี้คุณก็ยังอยู่หนิ  คุณยังคงมีชีวิตมีลมหายใจ  เท่านี้มันก็ทำให้เห็นแล้วว่าคุณผ่านมันมาได้แล้ว  

                ฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติที่เราจะมีความกลัวเข้ามาในชีวิตประจำวันเสมอ  เพราะความกลัวมันคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นและไม่แน่นอน  ถ้าคุณเอาแต่กลัว  มันก็จะไม่จบสิ้น  ทุกอย่างมันยังหมุนอยู่รอบตัวคุณ  ความกลัวมันคือความรู้สึกที่ไม่มีรูปร่าง เพราะมันคือจิตใต้สำนึกมันคือสิ่งที่เราคาดการณ์ไปก่อนแล้วเราก็จะพยายามป้องกัน พยามคิดจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้น พยายามจะหนี แต่ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่คุณหนีมาทั้งชีวิตก็ยังเกิดขึ้นกับคุณอยู่ดี  คุณจะทำอย่างไรได้นอกจากการสร้างความแน่นอนให้กับตัวเอง  เอาความกลัวมาเป็นแรงผลักดัน  แล้วสิ่งที่คุณเคยกลัวมันจะค่อยๆจางหายไปเพราะเราเอาชนะมันได้แล้วต่างหาก   คุณได้พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นแล้วว่าคุณสามารถสู้กับตัวคุณเองได้ สู้กับความกลัวที่มีภายในใจได้สำเร็จ