ปากไก่และใบเรือ (สรุปบทที่1)
ยุคต้นรัตนโกสินทร์
(พ.ศ. ๒๓๑0-๒๓๙๘) มักจะถูกจัดให้อยู่ในยุคสยามเก่า
ความหมายของยุคสยามเก่าจะไม่กระจ่างนัก
แต่มักจะเป็นแนวคิดที่ใช้สำหรับอธิบายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอันมีพระมหากษัตริย์อันเป็นผู้นำในต้นพุทธศตวรรษที่
๒๕ สยามเก่า คือสภาพที่อยู่ตรงข้ามกับสยามใหม่
สยามเก่าทำให้เรามองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยเป็นเวลาหลายศตวรรษนับตั้งแต่สมัยลพบุรีมาจนถึงรัชกาลที่
5
เวลาอันยาวนานซึ่งครอบงำวิวัฒนาการอันน่าตื่นเต้นของสังคมไทยนี้ไม่สามารถถูกจับให้หยุดนิ่งอยู่ในคำว่าสยามเก่าได้ง่าย
ๆ เช่นนั้น ในด่านที่สอง การเน้นความแตกต่างระหว่างสยามเก่าและสยามใหม่ไม่ช่วยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปของกษัตริย์ได้อย่างแท้จริง
คุณค่าของวรรณกรรมต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดต้นรัตนโกสินทร์
วรรณกรรมและสังคมที่ผลิตวรรณกรรมขึ้นนั้นย่อมมีปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อพิจารณาในแง่นี้
การใช้หลักฐานทางวรรณกรรมเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ความคิด
จึงมิได้มีความหมายจำกัดแต่เพียงเรื่องของปัญญาชนไม่กี่คนที่เป็นผู้ผลิตวรรณกรรมขึ้น หากหมายรวมถึงความเคลื่อนไหวทางความคิด
ซึ่งรวมเอาทั้งปัญญาชนและผู้อ่านวรรณกรรมจำนวนหนึ่งไว้ด้วยกัน คิดและตอบสนองความคิดของกันและกัน
ตลอดจนตอบสนองต่อสภาพสังคมที่แวดล้อมทั้งสองฝ่ายด้วย
นอกจากปัญหาด้านตัวต้นฉบับวรรณกรรมแล้ว
วรรณกรรมไทยซึ่งเป็นตัวเขียนด้วยลายลักษณ์อักษรเป็นสมบัติของชนชั้นนำ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของสังคม ในหลายกรณีวรรณกรรมที่ชนชั้นนำเหล่านี้สร้างขึ้นไม่ได้ถูกประชาชนทำไปใช้เลยก็มีเช่น
คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง หรือ โครงเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ
อิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างชาติที่ปรากฏอย่างมากในหมู่ชนชั้นปกครองของไทย
ที่ให้วัฒนธรรมของชนชั้นปกครองและประชาชนมีความแตกต่างกันมาก วัฒนธรรมของมูลนายซึ่งมีการศึกษาค้ำจุนอยู่จึงผูกพันอยู่กับตำราที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนใหญ่ของตำราเหล่านี้อยู่ในภาษาต่างประเทศ
เช่น บาลีหรือเขมร
ในทางตรงกันข้ามวัฒนธรรมของไพร่ผูกพันอยู่กับนิทาน นิยาย
ตำนาน
ซึ่งเล่าสืบกันมาโดยไม่มีการจดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ศาสนาของประชาชนที่เป็นไพร่ คือ คำเทศนาของพระภิกษุ และความเชื่อ ซึ่งปลูกฝังผ่านกันมาหลายชั่วคน วิถีที่แตกต่างกันระหว่างไพร่กับมูลนาย
หรือชนชั้นปกครอง
ทำให้หน้าที่และบทบาทของวรรณกรรมที่คนทั้งสองวัฒนธรรมสร้างขึ้นมีความแตกต่างกันด้วย
สภาพแวดล้อมที่เกิดวรรณกรรม
วรรณกรรมมูลนายเป็นวรรณกรรมที่เกิดในเมือง
ส่วนใหญ่ของวรรณกรรมอยุธยาที่มีฉบับเหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันมักเกิดในเมืองหลวงทั้งสิ้น
วรรณกรรมอยุธยาที่เป็นของชนชั้นมูลนายจึงแวดล้อมอยู่ด้วยเรื่องของกษัตริย์ หรือ เทพเจ้าที่สัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับกษัตริย์
หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับบรมเดชานุภาพของกษัตริย์
วรรณกรรมของประชาชนหรือของไพร่ เป็นวรรณกรรมที่เกิดในชนบท
เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับวิถีชีวิตคนในชนบทแม้จะมีการกล่าวถึงกษัตริย์ในบางกรณี ก็สร่างภายของกษัตริย์เหมือนคนธรรมดา โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ เป็นเรื่องของการงานในชีวิตจริงของคน การเกี้ยวพาราสี การตลกคะนองจนถึงขั้นหยาบโลน
โดยมากมักแสดงออกด้วยการสมมติให้เกิดการโต้ตอบกันระหว่างกุล่มหญิงชาย
ฉันทลักษณ์
วรรณกรรมของชนชั้นมูลนายพัฒนารูปแบบทางฉันทลักษณ์ที่ซับซ้อนและหลากชนิดขึ้นตามลำดับ
อาจเป็นไปได้ว่ารูปแบบทางฉันทลักษณ์จำนวนหนึ่งที่วรรณกรรมราชสำนักนิยมใช้ในระยะแรกมีกำเนิดในภาษาไทย
เช่น โคลงต่างชนิดและร่าย เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ลักษณะฉันทลักษณ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกวรรณกรรมประชาชนของไพร่นำไปใช้เลย แบบอย่างฉันทลักษณ์ของบาลีถูกถ่ายแบบมาใช้ในวรรณกรรมชนชั้นสูงอยุธยานั้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
กลอนนี้มีเหตุผลชวนให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่แพร่หลายในวรรณกรรมของประชาชนอยู่ก่อน
และ ราชสำนักเพิ่งรับไปใช้ในภายหลัง
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ชนชั้นสูงรับรูปแบบ
ฉันทลักษณ์ของไพร่ไปใช้ในวรรณกรรมของตน
แบบอย่างฉันทลักษณ์ที่นิยมใช้ในวรรณกรรมของประชาชนนั้นไม่มีชื่อเรียกเฉพาะตามรูปแบบคำประพันธ์แต่ละชนิดแต่มักเรียกรวม
ๆ กันว่าเพลง
คำประพันธ์ที่เรียกว่าเพลงแต่ละอย่างมัดจะมีความนิยมอยู่เฉพาะถิ่น จะเห็นได้ว่าลักษณะการแพร่หลายของฉันทลักษณ์ของวรรณกรรมประชาชนค่อนข้างจำกัดในขณะที่ฉันทลักษณ์ของชนชั้นสูงแพร่หลายไปได้กว้างไกล
หน้าที่
วรรณกรรมราชสำนักของอยุธยาที่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันโดยส่วนใหญ่มีหน้าที่ในด้านศาสนาและพิธีกรรมทั้งสิ้น วรรณกรรมสำนักอยุธยาที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา หรือ
พิธีกรรมมักจะเกิดในสมัยกลางอยุธยาลงมา และ
ส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมที่เกี่ยวกับการแสดง
ในปลายอยุธยาเมื่อราชสำนักเริ่มรับละครอันเป็นแบบอย่างการแสดงของประชาชนไปใช้บ้าง ทำให้เกิดวรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมและศาสนามากขึ้น ในปลายสมัยอยุธยามีความสนใจของชนชั้นสูงที่มีต่อวรรณกรรมเพื่อการอ่านที่มีนิยายเพิ่มมากขึ้น
อันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความเปลี่ยนแปลงด้านวรรณกรรมของราชสำนัก ทำให้มีการถ่ายทอดนิทานจากต่างประเทศ เป็นภาษาไทยกันมาก วรรณกรรมของประชาชนนั้นมีหน้าที่เด่นชัดอย่างมากในด้านการสร้างความบันเทิง
ความเชื่อมต่อของวรรณกรรมราชสำนักและวรรณกรรมของไพร่
บางส่วนของวัฒนธรรมมูลนายย่อมแพร่กระจายไปยังวัฒนธรรมของไพร่และ
ในทางตรงกันข้ามบางส่วนของวัฒนธรรมไพร่ย่อมถูกมูลนายรับเอาไปดัดแปลง อย่างไรก็ตามในสมัยอยุธยาก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่
23
หลักฐานเกี่ยวกับการแพร่กระจายของวัฒนธรรมทั้งสองแก่กันมักจะพบว่าวัฒนธรรมมูลนายได้แพร่กระจายลงมายังวัฒนธรรมไพร่เป็นอันมาก การแสดงโขน โมงครุ่ม เล่นดึกดำบรรพ์ และการแสดงหนัง ฯลฯ
ที่จัดขึ้นโดยราชสำนักเปิดโอกาสอย่างดีให้ไพร่ได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนิยายและความเชื่อของชนชั้นสูงอันมีมูลฐานมาจากต่างชาติ
นอกจากปฏิสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว
ทั้งมูลนายและไพร่ก็ยังเป็นลูกหลานของวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง มีความเชื่อในขั้นพื้นฐานบางอย่างร่วมกัน เช่น การเชื่อเรื่องผีสาง ช่องทางสำคัญที่เร่งเร้าการกระจายวัฒนธรรมทั้งสองอย่างได้แก่
วัด
อันเป็นสถานที่ซึ่งเปิดให้แก่ชนชั้นสูงและไพร่ได้สัมพันธ์กันอย่างมาก
วรรณกรรมวัด
วิธีการแปลของปัญญาชนในวัดนั้นนิยมที่จะยกบาลีมาเป็นไว้ในตอนต้นความ เพื่อให้ง่ายต่อการแปลไปถึงที่ใดแล้ว สะดวกแก่การตรวจสอบของผู้รู้ด้วยดัน
ส่วนภาษาไทยนิยมใช้คำประพันธ์อย่างหนึ่งซึ่งเรียกกันว่ากลอนวัดซึ่งก็คือร่าย อาจผสมด้วยกาพย์บ้างแต่น้อย แม้ในต้นฉบับบาลีตอนที่แปลจะไม่ได้อยู่ในรูปคำประพันธ์ใด
ๆ ปัญญาชนชาววัดก็ยังจะแปลบาลีตอนนั้นออกมาในรูปกลอนวัดอยู่นั้นเอง เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นบทบาทของวรรณกรรมวัดที่เชื่อมต่อวรรณกรรมมูลนายกับวรรณกรรมไพร่
ภาษาร่ายนั้นเป็นคำประพันธ์ที่คาบเกี่ยวอยู่บนความเรียง
ภาษาร่ายนั้นเป็นภาษาที่เหมาะจะใช้ในสถานการณ์ที่พิเศษกว่าสถานการณ์ที่จะใช้ภาษาความเรียงและภาษาพูด หนึ่งในสถานการณ์พิเศษนั้นก็คือ
เป็นกรณีที่ต้องการจะพูดกับเทพ ผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การเลือกสรรคำและการส่งสัมผัสทำให้ร่ายเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ หลักฐานที่ส่อว่าร่ายเป็นภาษาที่ดำลงสถานะเช่นนี้จะเห็นได้จากบทเซ่นผี บททำขวัญในงานต่าง ๆ ทั้งการแต่งงาน ทำขวัญนาค
สู่ขวัญ เรียกขวัญ ทำขวัญจุก
ฯลฯ ล้วนใช้ภาษาร่ายทั้งสิ้น บทเหล่านี้ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นความรู้พิเศษของหมอทำขวัญ
จึงเปลี่ยนแปลงช้ามากและคงลักษณะสำคัญของบทสวดของเดิมไว้เป็นส่วนใหญ่
ในด้านวรรณกรรมวัดภาษาร่ายถวายเป็นแบบอย่างของการแปลคัมภีร์บาลีเป็นไทย ภาษาเซ่นผี
กลายเป็นธรรมเนียมที่จะใช้ในการแปลคัมภีร์ศาสนาเกือบทั่วไป และมักเรียกว่าภาษาร้อยแล้ว
ซึ่งก็เกือบเหมือนภาษาในคำประพันธ์ชนิดที่เรียกว่าร่ายยาวเพียงแต่ไม่เคร่งครัดว่าทุกวรรคจะต้องส่งสัมผัสกันเสมอไป
ในส่วนวรรณกรรมของราชสำนักร่ายถูกนำไปขัดเกลาให้มีข้อบังคับมากขึ้นร่ายก่อให้เกิดร่ายสุภาพ แต่ก็เช่นเดียวกับในวรรณกรรมของประชาชน ซึ่งไม่ใช้ร่ายในวรรณกรรมเพื่อความบันเทิง
ร่ายเป็นสมบัติร่วมกันของชนชั้นสูงและไพร่ ร่ายจึงสะท้อนให้เห็นบทบาทของวัดอย่างดี ในการเชื่อมต่อวรรณกรรมของไพร่และของมูลนาย
ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของวรรณกรรมวัดก็คือ
เป็นวรรณกรรมที่อาศัยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
ในแง่นี้วรรณกรรมวัดจึงค่อนข้างใกล้เคียงกับวรรณกรรมของชนชั้นมูลนาย
แต่ในขณะเดียวกันวรรณกรรมวัดก็มุ่งจะใช้กับไพร่ทั่วไปด้วย
จึงเป็นการง่ายที่จารีตของวรรณกรรมไพร่จะแทรกซึมเข้าไปในวรรณกรรมวัด
บางส่วนของวรรณกรรมวัดจึงพัฒนาไปในทางที่ใกล้เคียงกับวรรณกรรมไพร่
วรรณกรรมที่มีนิยายก็มีอยู่ค่อนข้างมากในวรรณกรรมวัดเพราะชาดกเป็นเนื้อหาสำคัญที่ปัญญาชนในวัดใช้สำหรับสั่งสอน ความเปลี่ยนแปลงด้านวรรณกรรมที่ปรากฏในต้นรัตนโกสินทร์
ได้แก่
การรับเอาจารีตของวรรณกรรมประชาชนไปใช้ในวรรณกรรมของชนชั้นสูงเพิ่มขึ้น อีกด้านหนึ่งได้แก่
การลดลักษณะทางพิธีกรรมของวรรณกรรมราชสำนัก
ความเสื่อมของลักษณะพิธีกรรมในวรรณกรรม
ความเคร่งครัดในการเริ่มงานวรรณกรรมด้วยคำประณามพจน์นี้ เสื่อมคลายลงอย่างมากในต้นรัตนโกสินทร์ ในบทละคร 4
เรื่องที่แต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มีเขียนเรื่องรามเกียรติ์
เพียงเรื่องเดียวที่มีคำประณามพจน์เริ่มต้น
การละเลยนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ปลายอยุธยา คำประณามพจน์ในสมัยอยุธยาจะไม่มีกล่าวถึงประชาชน
แต่ในต้นรัตนโกสินทร์คำประณามพจน์นั้นจะกล่าวถึงประชาชนเสมอ
เนื้อหาอันมีลักษณะเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือพิธีกรรมในวรรณกรรมก็เสื่อมสลายลงอย่างชัดเจนในต้นรัตนโกสินทร์
การับจารีตทางวรรณกรรมของประชาชน
วรรณกรรมราชสำนักรับเอาจารีตของวรรณกรรมประชาชนมาพัฒนารูปลักษณ์แบบใหม่นั้นกลายเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในทางด้านวรรณกรรมในวรรณกรรมราชสำนัก
กลอนคำประพันธ์ของประชาชน
ต้นเค้าของกลอนนั้นอาจหาได้ในแบบฉันทลักษณ์ที่นิยมใช้ในวรรณกรรมประชาชน ผังบังคับของคำประพันธ์ที่เรียกว่าเพลงหลายอย่าง
เช่น เพลงเกี่ยวข้าวและเพลงเรื่อ จะมีสองบาทสุดท้ายเหมือนกลอนทุกอย่าง เพลงและการให้ทำนองหรือร้องคำประพันธ์เพื่อการฟังและชมนี้เป็นลักษณะเด่นของวรรณกรรมประชาชนอย่างหนึ่ง
กลอนซึ่งมีต้นเค้ามาจากวรรณกรรมประชาชนจึงปรากฏในระยะแรกโดยผูกพันอยู่กับเพลงและการขับร้องเสมอ
กลอนเป็นคำประพันธ์ที่มีความสามารถหลากหลายใช้เพื่อแสดงอารมณ์ที่หลากชนิด
บทอัศจรรย์-จารีตความเปรียบของประชาชน
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นระหว่างวรรณคดีของชนชั้นสูงกับของประชาชนทำให้มีการถ่ายเทความเปรียบอันเป็นภาษิตของประชาชนไปใช้ในวรรณกรรมราชสำนักอีกด้วย ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยได้พบในวรรณกรรมราชสำนักของอยุธยา
การรับเอาภาษิตและความเปรียบของประชาชนเป็นสมบัติของตนเอง พฤติกรรมทางกามารมณ์ในวรรณกรรมไทย ซึ่งนิยมเรียกกันว่า
บทอัศจรรย์อันเป็นความเปรียบอย่างหนึ่ง
พฤติกรรมทางกามารมณ์เป็นส่วนที่ค่อนข้างสำคัญในวรรณกรรมประชาชน เช่น เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว ฯลฯ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การเขียนบทอัศจรรย์หันไปรับจารีตของประชาชนมากขึ้นกล่าวคือ
ละทิ้งการบรรยายอย่างตรงไปตรงมาของวรรณกรรมราชสำนักอยุธยา ความเปรียบที่วรรณกรรมราชสำนักรับไปนั้น
ส่วนใหญ่จะใช้ซ้ำกันจนเกิดเป็นจารีตชนิดที่ผู้อ่านจะเข้าใจได้ทันที ความเปรียบที่ใช้มากที่สุดได้แก่ ฝนตกคู่กับดอกไม้บาน และ
ผึ้งคู่กับดอกไม้
การใช้ซ้ำซากและจำเจเช่นนี้ให้ประโยชน์ที่ทำให้เกิดสัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ง่ายแก่ผู้อ่าน
ละคร-จากประชาชนสู่ราชสำนัก
การแสดงระบำเป็นสมบัติที่ถือร่วมกันของประชาชนและราชสำนัก
โขนไม่ค่อยได้รับความนิยมจากประชาชนเพราะเป็นบทละครที่ตายตัว
แสดงอยู่เรื่องเดียวและไม่ให้ความบันเทิงเหมือนวรรณกรรมชาวบ้าน
ระบำถูกพัฒนาและการแสดงที่มีนิยายก็ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก
นับตั้งแต่ปลายอยุธยาเป็นต้นมาโดยเฉพาะละครที่เกิดมาจากวัฒนธรรมของประชาชนนิยมในวรรณกรรมเพื่อความบันเทิง
ลาลูแบร์ทำให้เห็นว่าละครของประชาชนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระนารายณ์แล้ว
แต่เมื่อดูหลักฐานอื่นกลับไม่พบว่ากล่าวถึงละครเลยก็พอจะเข้าใจได้ว่าละครในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นเพิ่งมีการเล่นละคร แต่ยังไม่แพร่หลาย
ลักษณะสำคัญของละครนอกอีกอย่างคือ การต้องด้นและเสภาเอง
บทละครตายตัวมาเกิดขึ้นเมื่อราชสำนักซึ้งคุ้นเคยกับการแต่งวรรณกรรมด้วยการเขียนอยู่แล้ว ให้รับละครไปจากประชาชนในปลายอยุธยา ความสนใจต่อวรรณกรรมที่มีนิยายของราชสำนักในปลายอยุธยาเองก็คงมรส่วนที่ทำให้การแสดงของประชาชนที่เรียกว่าละคร เป็นที่นิยมในแวดวงของราชสำนัก
ความคุ้นเคยกับละครเช่นนี้ทำให้ราชสำนักเริ่มปรับปรุงการแสดงของประชาชน
เพิ่มจารีตทางวรรณกรรมของตนเข้าไปและใช้ผู้หญิงแสดงและเขียนบทละครให้ตายตัว
ส่วนละครของประชาชนที่ไม่ใช้ผู้หญิงแลดงนั้นเพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นการด่าทอจึงไม่เหมาะให้ผู้หญิงเล่น
วรรคแรกที่ขึ้นต้นของละคร
เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น
เป็นเพราะว่าดัดแปลงมาจากเพลงของประชาชนซึ่งต้องทำให้วรรคแรกสั้นที่สุด จนกลายเป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของละครและยังมีประเพณีของบทละครอีกอย่างคือ
ฉากอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดินทาง
ซึ่งสมัยก่อนไม่เป็นที่นิยม
รัชกาลที่ 1
แค่เก็บรวบรวมเรื่องราวของตัวบทให้มากที่สุด
ไม่ได้มุ่งจะให้อ่านเอาเรื่องราวเพื่อความบันเทิง แต่มุ่งจะให้ความบันเทิงใจในเรื่องวรรณศิลป์มากกว่า รัชกาลที่ 2
มุ่งเน้นเรื่องการแสดงเพื่อความบันเทิง
ซึ่งแตกต่างเรื่องของ ร.1 มาก เพราะ ร.2 ใช้เพื่อแสดงละครได้จริง ๆ
การจัดท่ารำต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นผลให้ละครราชสำนักมีแบบแผนที่เป็นของตนเองอย่างชัดเจน
และมีความแตกต่างจากละครของประชาชนอย่างชัดเจน
และมีการเปิดรับจารีตทางวรรณกรรมของประชาชนอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง
การรับเอาวรรณกรรมประชาชนนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงราชสำนักแต่งยังแพร่กระจายไปในชนชั้นสูงทำให้ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์อีกด้วย ยิ่งในรัชกาลที่ 3
เมื่อกษัตริย์ไม่ทรงพระราชประสงค์ที่จะเก็บละครหลวงไว้
ทำให้ละครในกลับไปงอกงามตามบ้านขุนนางและวังเจ้านาย นอกจากแวดวงของชนชั้นสูง
วรรณกรรมที่เป็นบทละครมีผู้แต่งเพิ่มขึ้นอีกมากทั้งที่แต่งขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร รูปแบบที่ใช้ในการเล่านิยาย เพราะในเวลาต่อมาก็ปรากฏว่ามีผู้เอารูปแบบบทละครนี้เพื่อเขียนนิยาย
แม้ไม่ตั้งใจจะไว้ให้เล่นละครก็ตาม
วรรณกรรมเพื่อการอ่าน
อยุธยาผลิตวรรณกรรมเพื่อการอ่านไม่สู้จะมากนัก
ส่วนหนึ่งของวรรณกรรมอยุธยานั้นผลิตขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรม อีกส่วนหนึ่งเป็นวรรณกรรมเพื่อการแสดง
อีกส่วนเป็นวรรณกรรมทางศาสนามีจุดมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนหรือใช้สวด วรรณกรรมเพื่อการอ่านจึงมีอยู่น้อยมาก
แตกต่างกับช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ได้ผลิตวรรณกรรมที่มีลักษณะเพื่อการอ่าน จะเห็นได้ว่า
วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์เป็นวรรณกรรมที่ง่ายต่อการอ่านของคนทั่วไป ที่มีความรู้ทางหนังสือไม่มาก มีความง่ายทั้งศัพท์ที่ใช้และรูปแบบคำประพันธ์ซึ่งถูกกลอนครอบงำเสียส่วนใหญ่
ความเปลี่ยนแปลงในด้านนี้เองวรรณกรรมสะท้อนให้เห็นแม้แต่ในงานเขียนขึ้นในยุคนี้เอง
การอ้างถึงการอ่านเพื่อความบันเทิงนั้นเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในวรรณกรรมอยุธยา
เจ้าพระยาพระคลัง
(หน) ซึ่งเป็นกวีที่กล้าเสี่ยงทดลงริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ
อยู่เสมอสะท้อนความสำนึก เช่นในเรื่อง ลิลิตรศรวิปับชาดก
เป็นวรรณกรรมเพื่อการอ่านโดยแท้แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาจารีตของกลอนเทศน์ไว้ด้วย
แต่ไม่เป็นที่นิยม แต่วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนสำนึกของกวีต่อความเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของวรรณกรรมในต้นรัตนโกสินทร์ได้ดี
วรรณกรรมการอ่านเพื่อความบันเทิงชนิดใหม่อีกอย่างหนึ่ง คือ
การเขียนนิทานกลอน
วรรณกรรมเพื่อการอ่านขยายตัวขึ้นในด้านปริมาณพร้อมกันไปกับความสนใจวรรณกรรมที่มีนิยายในขณะเดียวกันคำประพันธ์ประเภทกลอนมีการใช้มากขึ้น
เพราะ เหมาะสมกับความสนใจที่จะอ่านวรรณกรรมสนุกกับนิยาย
ในวรรณกรรมความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมที่เป็นหน้าที่สำคัญของวรรณกรรมหมดความนิยมลงไปมาก
เพราะวรรณกรรมนั้นทำหน้าที่สร้างความบันเทิงใจในรูปแบบอื่นเสียมากกว่า
และไม่จำกัดอยู่เพียงแต่ในราชสำนักล้วน ๆ อย่างที่เคยเป็นในสมัยอยุธยา
สรุป
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะงานวรรณกรรมของประชาชนหรือของราชสำนัก
ทั้งสองอย่างนี้มีการรับอิทธิพลของกันและกันเพื่อนนำมาสร้างสรรค์งานวรรณกรรม ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของราชสำนักที่แต่ก่อนปิดกั้นงานของประชาชนนั้น เมื่อสมัยเปลี่ยนไปทำให้ราชสำนักนั้น รับอิทธิพลงานวรรณกรรมของประชาชนมากขึ้น
ซึ่งราชสำนักในสมัยอยุธยามีแต่เรื่องศาสนาไม่มีความบันเทิงเหมือนสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่เน้นความส่วนบันเทิงซะส่วนใหญ่ เพราะได้เปิดกว้างรับอิทธิพลของประชาชนมากขึ้น