ความโศกแห่งการพลัดพรากที่แฝงไปด้วยความรักที่ซ้อนอยู่ในเรื่องยุขันตอนที่สอง
เรื่องยุขันตอนที่สองนั้น
รสที่เด่นที่สุดในตอนนี้ก็คือกรุณารสรสแห่งความโศกเศร้าความสงสาร เหตุที่ผู้วิจารณ์กล่าวว่าตอนที่สองนั้นมีรสแห่งกรุณารสมากที่สุดก็คือ
ตัวละครของเรื่องมีการพลัดพรากจากกันเป็นระยะ ๆ ในเรื่องนี้ เริ่มแรกของเรื่องนั้นเกิดจากยุขันนั้นมีดวงสมพงกับนางประวะลิ่ม
ซึ่งอยู่เมืองอุเรเซนระยะทางของทั้งสองเมืองนั้นห่างไกลกันมาก เทพปะตาระกาหลาก็ได้เขียนตำราใส่ไว้ในสมุดเกี่ยวกับนกหัสรังสีเพื่อหาทางให้ทั้งสองได้พบกัน
เมื่อเขียนเสร็จได้นำไปไว้วางไว้ข้าง ๆ แท่นสุวรรณรัตน์ของท้าวอุรังยิด
เมื่อท้าวอุรังยิดพระบิดาของยุขันได้หยิบขึ้นมาอ่านก็เกิดอยากได้นกหัสรังสีมาครอบครอง
เหตุนี้จึงทำให้ยุขันและยุดาหวันนั้นจะเดินทางไปหานกหัสรังสีซึ่งทำตามพระประสงค์ของบิดา
นกหัสรังสีนั้นอยู่ที่เมืองอุเรเซน ก่อนออกเดินทางไปตามหานกที่เมืองอุเรเซนทั้งสองได้ไปบอกลาพระมารดาที่ปราสาท
เพื่อจะลาจากไปตามหานกหัสรังสีตามพระประสงค์ของบิดาเป็นเวลาสามปีจึงจะกลับมาที่เมือง ตอนนี้ทำให้เห็นถึงการพลัดพรากเป็นฉากแรก
ที่พระลูกยาทั้งสองนั้นต้องจากเมืองไปไกล
จากไปจากอ้อมอกของพระมารดา ทำให้พระมารดานั้นเกิดความเศร้าใจยิ่งนักที่ต้องแยกจากกับลูก
ผู้วิจารณ์เลยรู้สึกว่าตอนนี้เป็นการเริ่มต้นบทแห่งความเศร้าที่ผู้วิจารณ์รับรู้ได้จากบทบรรยายความรู้สึกของพระมารดาที่ผู้ประพันธ์นั้นเขียนขึ้น เหตุที่สองที่ทำให้ผู้วิจารณ์เกิดกรุณารสอีกก็คือ
ฉากที่ยุขันกับยุดาหวันนั้นต้องจากกันไปคนละทาง
เพราะว่าได้มีอักษรเขียนติดไว้บนหลักว่า เมื่อเดินมาถึงทางนี้แล้วให้แยกกันเดินไปคนละทางจะทำให้เจอพระฤๅษีฝึกวิชาอาคมได้
แต่ถ้าเกิดเดินไปด้วยกันจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย
ทำให้เห็นบทอาลัยอาวรณ์ของพี่น้องที่มีความรักกันและพร้อมจะร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน แต่แล้วก็ต้องแยกจากกันเพราะต่างต้องไปพบกับชะตากรรมของตัวเองในเบื้องหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง และฉากสุดท้ายที่สื่อถึงรสแห่งความเศร้าได้มากที่สุดของตอนนี้ก็คือ การจากไปของท้าวจะรังหงูบูหราเจ้าเมืองจะรังหงูบูหราที่ได้สวรรคต การจากไปของท้าวจะรังหงูบูหรานั้นทำให้เกิดความโศกเศร้าครั้งใหญ่ขึ้นทั้งเมืองจะรังหงูบูหรา
เพราะเป็นการจากไปโดยไม่มีวันได้กลับมาอีก
ทั้งสามฉากที่ผู้วิจารณ์ยกมานั้นซึ่งผู้ประพันธ์ดำเนินเรื่องวางไว้เป็นระยะ
ๆ จึงทำให้ผู้วิจารณ์เกิดความรู้สึกกรุณารสตลอดทั้งตอนนี้เป็นส่วนใหญ่ ผู้วิจารณ์จึงกล่าวได้ว่าตอนที่สองของเรื่องยุขันนั้น
รสที่ผู้วิจารณ์ได้รับมากที่สุดนั้นคือ กรุณารส
ซึ่งจะอธิบายอย่างละเอียดดังต่อไปนี้ ฉากแรกที่ผู้วิจารณ์กล่าวถึงนั้นคือ ฉากที่ยุขันและยุดาหลังได้มาปราสาทของพระมารดาเพื่อมาบอกกล่าวเรื่องที่จะออกเดินทางไปตามหานกหัสรังสี เมื่อทั้งสองได้บอกพระมารดาแล้ว พระมารดาก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ลูกทั้งสองนั้นจะเดินทางกันไกล
นานถึงสามปี
นางจึงรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างยิ่งกับการเดินทางของทั้งสองพระองค์เพราะไม่เคยจากกันไปไกลถึงขนาดนี้ เหมือนชีวิตของนางนั้นกำลังจะตายจากไปเพราะลูกรักทั้งสองต้องไปเผชิญกับอันตรายต่าง
ๆ ด้วยความรู้สึกที่รักลูกหวนแหนลูก
ไม่อยากให้ลูกนั้นต้องมารำบากหรือต้องไปเจอกับเหตุการณ์อันตราย
โดยที่ไม่สามารถทราบเลยได้ว่าลูกนั้นต้องเดินทางไปพบเจอกับอะไรบ้างดังบทกลอนนี้
“๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรีได้ฟังลูกยาพาที ปิ่มประหนึ่งชีวีจะบรรลัยยอกรกอดสองโอรสราช สุดสวาดิพ่อคิดเป็นไฉยเจ้าจึงอาจองทะนงใจ รับอาสาไปทั้งสองราปักษีอยู่ถึงอุเรเซน แม่เห็นจะไม่สมปรารถนาจะพากันดั้นด้นอรัญวา รู้ว่าหนทางนั้นอย่างไรอยู่ใกล้ฤๅไกลไม่แจ้งเหตุ จะทุเรศไปจากกรุงใหญ่พระชนนีเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ ไห้อาลัยถึงลูกยาจะมีแต่อาดรูพูนโศก แสนวิโยคถึงลูกเสนหาว่าพลางนางร่ำโศกา กัลยาไม่เป็นสมประดี ฯ โอด 10
คำ ฯ”
จะเห็นได้ว่านางนั้นเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากทำให้ผู้วิจารณ์นั้นได้เกิดความสงสารนางที่ต้องจากกับลูก นอกจากจะรู้สึกสงสารแล้ว
ความรู้สึกที่ตามติดมาทันทีนั้นก็คือความรักของแม่ที่มีให้กับลูก ซึ่งเป็นรักที่ยิ่งใหญ่มาก
รักที่พระมารดามอบให้ลูกนั้นประหนึ่งว่าโลกทั้งใบของนางนั้นยกมันให้ลูกของนางเท่านั้น
ความรู้สึกของนางทำให้ผู้วิจารณ์นั้นยิ่งสงสารและเห็นใจนาง ได้เห็นถึงความรักความอาลัยอาวรณ์ที่พระมารดามีต่อลูก
ความเป็นห่วงลูกและความสงสารลูกที่ต้องเดินทางกันไปไกลบ้านไกลเมือง
เพราะนางก็ไม่สามารถทราบเลยได้ว่าหนทางข้างหน้าที่ลูกทั้งสองของนางต้องพบเจออุปสรรคอะไรในการเดินทางครั้งนี้บ้าง ฉากที่สองที่ผู้วิจารณ์เห็นถึงการพลัดพรากที่เศร้าสร้อยอีกเหตุการณ์ก็คือ
การที่ทั้งสองพี่น้องต้องแยกกันเดินไปคนละทางเพื่อไปพบกับชะตากรรมของตนเองเพียงลำพัง
ดังบทกลอนนี้ “๏ เมื่อนั้น ยุขันโศกเศร้าหมองศรีได้ฟังพี่ยาพาที ภูมีวิโยคจาบัลย์เวราสิ่งใดมาจำจาก แสนวิบากที่กลางไพรสัณฑ์พี่น้องเราเคยเห็นหน้ากัน วันนี้จะพรากพรัดไปสองพระองค์ทรงโทรมนัสศัลย์ ดั่งชีวันจะม้วยตักษัยแสนเทวษโศกาลัย มิได้จะนิราศคลาดคลาแล้วระงับดับความโศกี สองศรีตริตรึกปรึกษาจวนจะสิ้นแสงพระสุริยา จำเป็นจำเราจะคลาไคลยุขันยอกรอภิวาท พระเชษฐาธิราชเป็นใหญ่มิใคร่จะจากจร แข็งใจดำเนินเดินมาต่างแยกมรคาพนาสัณฑ์ พ่างเพียงชีวินจะสังขาร์ให้อาวรณ์ร้อนเร่าให้อุรา ดังหนึ่งชีวันจะบรรลัย ฯฯ โอร่าย 12 คำ ฯ”
ฉากนี้ได้ทำให้ผู้วิจารณ์สะเทือนใจอีกตอนหนึ่ง เนื่องจากสงสารพี่น้องคู่นี้ที่ต้องมาจากกันไป นอกจากจะเกิดความสงสารแล้ว
ผู้วิจารณ์ยังมีความรู้สึกต่อมาคือความรักของทั้งสองพระองค์ บุขันและยุดาหวันนั้นเป็นพี่น้องที่มีความรัก
ความผูกพันกันมาก ทำให้ผู้วิจารณ์นั้นทั้งประทับใจในความรักที่งดงามเช่นนี้แล้ว
ยังทำให้เกิดความเศร้า ความสงสารที่ทั้งสองต้องมาเผชิญชะตากรรมอย่างนี้ ความรักย่อมมีความเสียสละ
เพราะถ้าทั้งสองเห็นแก่ตัว
แล้วเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งนั้นก็อาจจะร่วมเดินทางไปทางเดียวกันสองพระองค์ก็ได้ แต่เพราะว่าทั้งสองนั้นรักกันมาก
ไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจากกัน เพราะหลักได้บอกไว้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว เพราะทั้งสองตะหนักถึงเหตุนี้
จึงตัดสินใจที่จะแยกทางกันถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์ จะไม่อยากแยกกันไปมากแค่ไหนก็ตาม
แต่การแยกจากกันครั้งนี้ของทั้งสองคนก็ย่อมดีกว่าเดินไปด้วยกันแล้วใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย จากเป็นก็ยังสามารถที่จะกลับมาพบกันใหม่ได้
แต่ถ้าจากตายก็ไม่สามารถทำให้ได้กลับมาพบกันอีก การจากลาของสองพี่น้องคู่นี้ ผู้วิจารณ์ทั้งสงสารเห็นใจ
แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งในความรักที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ฉากสุดท้ายที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นฉากที่เศร้าที่สุดในตอนนี้ เพราะเป็นฉากที่ท้าวจะรังหงูบูหรานั้นสวรรคต
ทำให้เห็นถึงความโศกเศร้าเสียใจครั้งใหญ่ในตอนนี้ “๏ เมื่อนั้น ประไหมสุหรีครวญคร่ำกำสลดทั้งพระบุตรีมียศ โศการันทดสลดใจทั้งหมู่แสนสาวพระกำนัล ก็โศกศัลย์รัญจวนหวนไห้เสนาประชากรทั้งเวียงไชย มิได้สุขกระเษมเปรมปราฯฯ
โอด 4 คำ ฯ”
จะเห็นได้ว่าการจากไปของท้างจะรังหงูบูหงานั้นเป็นการทำให้คนทั้งเมืองนั้นเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพระมเหสี ทั้งนางกัญจหนา นางกำนัล เสนา
และชาวบ้านที่อยู่ในเมืองนั้น การจากไปครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งทำให้สะเทือนใจมากกว่าฉากกล่าว ๆ
ที่ผู้วิจารณ์ได้กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว
เพราะการจากไปของสองฉากที่ยกมานั้นเป็นการจากเป็น ซึ่งยังไงก็สามารถกลับมาพบกันใหม่ในเวลาที่ได้บอกกล่าวกันไว้ได้
แต่การจากไปจองท้าวจะรังหงูบูหรานั้นจากไปแบบถาวร ไม่สามารถที่จะกลับมาพบใครได้อีก ทำให้ผู้วิจารณ์นั้นเกิดความสงสารทั้งพระมเหสี
นางกัญจะหนา และทุกคนในเมืองนี้
ที่รักท้าวจะรังหงูบูหรา
และผู้วิจารณ์ยังเห็นอีกว่าท้าวจะรังหงูบูหรานั้นน่ายกย่องอีกด้วย เพราะการจากไปของพระองค์นั้นทำให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่
เพราะสามารถทำให้คนทั้งเมืองนั้นเศร้าโศกได้มากมายถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงทำให้ชาวเมืองนั้นอยู่เย็นเป็นสุขมากช้านาน เพราะความเมตรตาปราณี
และทรงเที่ยงธรรมในการปกครอง
จึงทำให้ท้าวจะรังหงูบูหราได้รับความรักที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้จากคนทั้งเมือง ในตอนที่สองของเรื่องนี้ที่ทำให้ผู้วิจารณ์นั้นเกิดรสกรุณารสได้มากมายขนาดนี้ก็มาจากการที่ทั้งสามฉากนั้นมีรสศฤงคารรสเป็นตัวเชื่อม
ทำให้สามารถเข้าใจความรู้สึกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทุกตัวละครในเรื่องที่จะสามารถส่งผ่านออกมาจนทำให้ผู้วิจารณ์นั้นสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจ
ความสงสาร ที่มีอยู่ในเรื่องนี้ได้ ก็เพราะเหตุเกิดจากความรักที่ตัวละครนั้นมีให้แก่กัน ไม่ว่าจะเป็นความรักของแม่กับลูก ความรักของพี่กับน้อง ความรักของลูกที่มีให้พ่อ
ความรักของภรรยาที่มีให้กับสามี และความรักของคนทั้งเมืองที่มีต่อเจ้าเมืองของเมืองนั้น เพราะรสศฤงคารรสนี้ที่แฝงอยู่ในความเศร้าของเรื่อง จึงทำให้ความเศร้าเด่นขึ้นเพราะสงสารตัวละครที่ต้องมาทุกข์มาเศร้าเสียใจก็เพราะความรักบริสุทธิ์ที่ต่างมีให้กัน ยิ่งรักกันมากเท่าไหร่ เมื่อต้องมีเหตุให้จากกันไป
ทั้งการจากลาที่มีลมหายใจ
แต่ต้องใช้เวลานานในการรอคอย หรือจากแบบหมดลมหายใจ จากโดยที่สิ้นสุดการรอคอย ไม่ว่าจะจากกันแบบไหนก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน ผู้วิจารณ์นั้นไม่สามารถทราบได้เลยว่า
การจากไปของทั้งสองอย่างนี้อะไรที่เศร้าเสียใจกว่ากัน
เพราะการจากเป็นก็เป็นการรอคอยอย่างมีความหวังและคิดถึงทุกวันไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะได้พบกัน การรอคอยก็คงมีความทรมานมาก ๆ เช่นกัน แต่ถ้าการจากตาย ก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการรอคอย
แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำใจได้ว่าคนที่จากไปนั้นไม่สามารถเจอกันได้อีกแล้ว และในตอนนี้มีอีกรสหนึ่งที่จะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้
เพราะรสนี้สามารถทำให้ความเศร้านั้นเบาบางลงไปได้บ้าง
เพราะรสที่จะกล่าวนี้คือวีรรส รสแห่งความกล้าหาญ
เพราะเมื่อเราสามารถรับรู้ความกล้าหาญของตัวละครในเรื่องนั้น
ก็ทำให้รสแห่งความเศร้าลดลงเพราะตัวละครนั้นต่างทำไปตามหน้าที่ของตน เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้
จึงทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นว่าตัวละครนั้นต้องทำสำเร็จแล้วกลับมาได้อย่างแน่นอนไม่ว่าจะพบกับอุปสรรคแบบไหนก็ตาม
ถึงแม้อาจจะต้องตาย
แต่ผู้วิจารณ์ก็รู้สึกได้ว่าจะเป็นการจากไปที่น่ายกย่องเชิดชูสมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกเจ้าเมือง
และแน่นอนว่าการจากไปในรูปแบบนี้จะทำให้คนสรรเสริญเชิดชูในความกล้าหาญของตัวละครมากยิ่งขึ้น เช่นฉากนี้ผู้วิจารณ์ขอยกฉากที่ทำให้เห็นความกล้าหาญที่ชัดเจนของลูกเจ้าเมือง “๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์ยุขันศรีใสเห็นเสนาดาดาษไม่อาจใจ ภูวไนยถวิลจินดากูจะรับพระราชโองการ พระภูบาลพิภพนาถาจึ่งจะได้ไปยังพนาวา เที่ยวหาปักษาดั่งใจจงทั้งจะได้พบองค์พระสิทธา ร่ำเรียนวิชาดั่งประสงค์เกิดในเชื้อกระษัตริย์เอกองค์ ให้ทรงศิลปะศาสตร์เชี่ยวชาญคิดแล้วถวายอภิวาท พระบิตุรงค์ธิราชรังสรรค์ลูกจะขออาสาพระทรงธรรม์ ไปยังอุเรเซนธานีเที่ยวหาหัสรังดั่งจินดา เกลือกว่าจะพบพระฤๅษีจะได้เรียนพระเวทฤทธี สามปีลูกนี้จะกลับมา ฯฯ 10 คำ ฯ”
ยุขันนั้นมีจิตใจที่กล้าหาญเมื่อต่อมาต้องเจอฉากเศร้า ๆ ในบทอื่น ๆ ต่อมา
แต่เมื่อนึกถึงความกล้าหาญที่มุ่งมั่นในการตัดสินใจของยุขันในครั้งนี้ก็ทำให้ผู้วิจารณ์นั้นคลายเศร้าไปได้บ้าง เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจของยุขันที่เอาจริงเอาจัง กล้าไปเผชิญอย่างหน้าอย่างกล้าหาญ
และยังมีความประสงค์ที่แน่วแน่มั่นคงต่อให้ต้องพลัดพรากกับตัวละครอื่นอีกกี่หนนั้น
ต่อให้ต้องเสียใจในการจากลาใครต่อใครอีกมากมาย
หรือต้องพบกับเรื่องที่เลวร้ายมากแค่ไหน
ยุขันก็ไม่ลดละความตั้งใจเดิมของตนที่จะไปหานกหัสรังสีมาให้พระบิดาให้ได้ ผู้วิจารณ์รู้สึกยกย่องและประทับใจในความกล้าหาญครั้งนี้ของยุขันมาก กล้าที่จะทำให้สมกับเป็นลูกของเจ้าเมืองอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ต้องเจอภายภาคหน้า สรุป ในตอนที่สองของเรื่องนี้ถึงแม้จะมีแต่ความเศร้าที่ยาวนานตลอดทั้งตอนนี้เลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เห็นถึงการเสียสละ ความกล้าหาญ
แน่วแน่ ตั้งใจ และยังเห็นถึงความรักที่หาได้จากคนในครอบครัว
เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับความเศร้าได้เสมอเมื่อถึงยามต้องจากลากันไปตามชะตากรรมของตนที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เพราะความรักที่มากล้นและบริสุทธิ์เช่นนี้ ผู้วิจารณ์ถึงกล่าวได้ว่าในตอนนี้ทำให้ผู้วิจารณ์นั้นเกิดกรุณารสได้มากที่สุด เพราะผู้วิจารณ์รับรู้จากความรู้สึกสงสาร จึงทำให้ได้คิดและได้สัมผัสถึงสาเหตุอื่น ๆ
ที่มีมากกว่าคำว่าสงสารที่ซ่อนอยู่ในบทประพันธ์นี้
ถ้าไม่มีความสงสารผู้วิจารณ์ก็อาจไม่ได้สัมผัสถึงความรักระหว่างคนในครอบครัว
หรือต่อประชาชนที่รักในท่านเจ้าเมืองได้มากมายขนาดนี้ ทุกความทุกข์นั้นย่อมมีความสุขซ่อนอยู่เสมอ
ถึงแม้จะทุกข์หรือเศร้ามากแต่ไหนเมื่อมองย้อนกลับไปในความทุกข์นั้น
ผู้วิจารณ์ก็กลับได้เห็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความทุกข์อย่างสิ้นเชิงเลยก็คือความรักของตัวละครที่มีให้แก่กัน รสแห่งความโศกเศร้าในตอนนี้จึงได้ลึกซึ้งและเศร้าสร้อยแต่ก็ทำให้เข้าใจในเหตุและผลของตัวละครที่จำเป็นต้องจากกันในครั้งนี้ *หมายเหตุ
คำประพันที่ยกมานั้นไม่ได้ใส่เลขหน้าของบทที่ยกมาหลังตัวบทนั้น เป็นเพราะว่าได้อ่านตัวบทจากเว็ปของห้องสมุดวชิรญาณโดยตรง ซึ่งไม่มีเลขหน้ากำกับไว้ในตัวบท
อ้างอิงwww.vajiraya.org/บทละครนอกเรื่อง-ยุขัน/2