ตีความระหว่างบรรทัด
ในแต่ละบรรทัดกวีพยายามบอกถึงความรู้สึกของตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกร่วมไปในแต่ละบรรทัด
มันคือการชักชวนให้เราเข้าไปเดินทางระหว่างบรรทัดเห็นได้จาก “มาเรามาเดินทาง ระหว่างบรรทัด”
การเดินทางระหว่างบรรทัดนั้นจะมีช่องว่าที่ทำให้เรามองไม่เห็นว่าช่องว่างนั้นคืออะไร
แต่เราสามารถสัมผัสได้จากความรู้สึกที่เราอ่านดูได้จาก “เรามองเห็นจังหวะระบำอันลำเลียง
โล้เรือเราโอนเอนได้เพียงนั้น” ต่อมาจะทำให้เห็นว่าเรามีการจินตนาการไปไกลจากสิ่งที่เห็นดูจาก
“เขียนเพียงนกเกาะนิ่งกับกิ่งไม้ เราจะติดปีกไว้เพื่อได้ฝัน ว่าป่าเหนือ
น้ำใต้ กี่ไกลกัน” นกเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ที่กิ่งไม้แต่เราก็จินตนาการไปว่าเรามันออกเดินทางไปไกลแสนไกลโดยที่จริงแล้วมันยังไม่ได้ไปไหนเลย ต่อมากวีเขียนถึงฝนที่ตกในวันที่ร้อน
ทำให้ได้ยินเสียงที่น้ำหล่นลงมากระทบกับก้อนหินและทำให้เห็นว่าฝนนั้นตกลงมากระทบกับพื้นดิน ทำให้ได้ยินเสียงหญ้าที่เป็นริ้วๆ
ต่อมากวีเขียนถึงสายลมสิ่งแรกที่กวีนึกถึงคือหญ้าที่พัดปลิวเป็นคลื่น ทำให้เห็นหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ต่อมาก็เขียนถึงว่าวที่ลอยอยู่บนฟ้าเมื่อลมแรงๆทำให้รู้สึกเหมือนว่าวจะลอยออกไปไกลทำให้กวีเกิดรู้สึกใจหวิวขึ้นมา
ต่อมาเขียนถึงดอกไม้ทำให้เกิดกลิ่นดอกไม้ที่หอมจากความรู้สึกในใจที่เรามีต่อดอกไม้
ในแต่ละบรรทัดที่เราเดินทางนั้นจะมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
จะเห็นได้ว่าเมื่อเราอ่านจบแล้ว แต่ละบรรทัดที่ต้องการจะสื่อกับเรานั้นล้วนแต่เป็นเพียงแค่ตัวอักษร แต่ในตัวอักษรนั้นเมื่อเราอ่านไปจะทำให้เรารู้สึกได้ว่า แต่ละบรรทัดเรารู้สึกแตกต่างกันออกไป ถึงแม้เราจะไม่ต้องเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตา แต่เราสามารถสัมผัสมันได้ด้วยใจและความรู้สึกของเราที่ได้อ่านในแต่ละบรรทัด ช่องว่างระหว่างบรรทัดที่เรามองไม่เห็นนั้นก็คือความรู้สึกของเราที่ได้อ่านในแต่ละบรรทัด