การวิจารณ์วรรณกรรมแต่ละยุคของตะวันตก
ความหมายของคำว่า
วรรณกรรมวิจารณ์
เป็นการพิจารณาคุณค่าของหนังสือหรือบทประพันธ์โดยชี้ให้เห็นรายละเอียดต่าง
ๆ เกี่ยวกับงานประพันธ์
เพื่อที่จะประเมินค่า หรือ ชี้ให้เห็นข้อเด่นข้อด้อยว่าเป็นอย่างไร
หรือเพราะเหตุใด นอกจากนี้แล้วการวิจารณ์ก็มีลักษณะที่เป็นกระบวนการและมีขั้นตอนที่ค่อนข้างแน่นอน มีองค์ประกอบ คือ
การวิเคราะห์หารายละเอียดของวรรณกรรม
เช่น การวิเคราะห์องค์ประกอบ การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ
การอธิบายให้ความกระจ่างในสิ่งที่ได้วิเคราะห์
เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้จากตัวบทวรรณกรรม
การตีความจะช่วยให้เกิดความกระจ่างในวรรณกรรมได้มากขึ้น การประเมินค่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการวิจารณ์วรรณกรรมและเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะลงความเห็นว่า วรรณกรรมเรื่องนั้นมีความเด่นด้อยอย่างไร
วรรณกรรมวิจารณ์ตะวันตกเริ่มขึ้นที่กรีกแห่งแรกและได้รับการสืบทอดต่อมาในสมัยโรมัน
การวิจารณ์วรรณกรรมในระยะนี้เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นการวางรากฐานในวรรณกรรมวิจารณ์ของตะวันตก ในระยะต่อมาหรืออาจกล่าวได้ว่าชนชาติกรีกเป็นผู้วางพื้นฐานวรรณคดีวิจารณ์แก่ชาวโลก รวมทั้งเน้นให้เห็นคุณค่าความสำคัญของศิลปะวรรณคดีในฐานะที่เป็นเบ้าหลอมหรือสิ่งที่ช่วยพัฒนาอารมณ์และความเชื่อของมนุษย์
การวิจารณ์วรรณกรรมสมัยกรีกดำเนินไปภายใต้ความเชื่อที่ว่า
วรรณคดีเป็นงานสร้างสรรค์ที่เกิดการเลียนแบบความจริงจากธรรมชาติ
สมัยกลางเป็นระยะที่ความเจริญทางด้านศิลปะวิทยาการในตะวันตกหยุดชะงักอยู่กับที่
เพราะชาวยุโรปส่วนใหญ่มีความคลั่งไคล้ในศาสนาคริสต์ จนขาดความกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่าง
ๆ จนเรียกระยะนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นยุคมืดเช่นเดียวกับวิทยาการแขนงอื่น ๆ
การวิจารณ์วรรณกรรมในระยะนี้แทบจะไม่มีการสร้างระเบียบวิธีหรือแนวคิดใหม่ ๆ
เกิดขึ้น
แต่ยังคงหลักการวิจารณ์ตามแบบกรีกและโรมัน โดยเฉพาะอิทธิพลทางทฤษฎีของฮอเรซ การวิจารณ์วรรณกรรมยังคงให้ความสำคัญต่อรูปแบบ ลีลาการแต่ง
กฎเกณฑ์ในการแต่งคำประพันธ์
การวิจารณ์วรรณกรรมในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการจึงยังคงยึดมั่นในหลักเกณฑ์อันเคร่งครัดและการหวนกลับไปสู่อุดมคติของวรรณคดีคลาสสิกนั้นคือ มีการนำเอาหลักการและมาตรฐานของวรรณคดีกรีกและโรมันมาเป็นแบบฉบับในการประเมินค่าวรรณคดี และถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
เกี่ยวกับวรรณคดีกรีกและโรมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่กฎเกณฑ์อื่น ๆ เป็นสิ่งที่ผิด
แนวคิดเกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณกรรมในยุคโรแมนติค คือ การให้ความสำคัญต่อจินตนาการและอารมณ์ในบทประพันธ์เทียบเท่ากับความเป็นเหตุเป็นผลในการเข้าถึงความเป็นจริง
นักวิจารณ์ในยุคโรแมนติคสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการแสดงออก
ความคิดริเริ่มและความเป็นอัจฉริยะในบทประพันธ์รวมถึงการให้ความสำคัญของเนื้อหาวรรณคดีที่เสนอสาระเกี่ยวกับมนุษย์ในภาวะธรรมชาติ
ศตวรรษที่ 19
เป็นระยะที่ความรู้และวิทยาการต่าง ๆ ขยายตัวอย่างมาก
วรรณกรรมวิจารณ์ก็มีความก้าวหน้าในทางทฤษฎีด้วยการนำความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ
เข้ามาเกี่ยวข้องกับการวิจารณ์วรรณกรรม
วรรณกรรมวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 ดำเนินไปภายใต้กระแสต่อต้านวรรณกรรมตามแนวลัทธิโรแมนติค
ซึ่งมีกระแสในการวิจารณ์ออกเป็นสองกระแสหลักคือ
การวิจารณ์ตามแนวลัทธิสัจนิยม และ ธรรมชาตินิยม
ทฤษฎีหรือแนววิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพัฒนาการทางความคิดของนักวิจารณ์ในตะวันตกที่พยายามแสวงหาหลักเกณฑ์จนกำหนดขึ้นเป็นแนวทางต่าง
ๆ ได้ แนวการวิจารณ์ที่แพร่หลายศตวรรษที่
20 ซึ่งเป็นระยะที่นักวิจารณ์รุ่นใหม่กำลังมีบทบาทในการวิจารณ์เป็นอย่างมาก ในศตวรรษที่ 20 การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวศิลปะได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักวิจารณ์ในกลุ่มมนุษย์นิยมใหม่
นักวิจารณ์กลุ่มนี้เชื่อว่าวรรณคดีคือการวิจารณ์ชีวิต หน้าที่หลักของวรรณคดีคือ การสอนคติธรรมทั้งในเชิงศาสนาและเชิงปรัชญา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วรรณคดีมีหน้าที่มุ่งสอนและให้ข้อคิดในการประพฤติตนในการดำรงชีวิต สอนให้คนทำความดีและสอนเรื่องความจริงในชีวิต
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวประวัติศาสตร์และชีวประวัติ
เป็นแนวการวิจารณ์ดั้งเดิมที่มีอิทธิพลอย่างมากก่อนต้นศตวรรษที่ 20
ลักษณะเด่นของการวิจารณ์แบบดั้งเดิมคือ นักวิจารณ์ที่ศึกษาวรรณคดีในแนวนี้เชื่อว่า
งานศิลปะเป็นเพียงผลผลิตหรือสิ่งที่ถ่ายทอดบุคลิกภาพและชีวประวัติ สภาพสังคม
แนวคิดหรือปรัชญาของผู้แต่งหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่สืบทอดลักษณะวิชาการแขนงอื่น
ๆ ในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดี
ผู้วิจารณ์จึงให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบภายนอก
การวิจารณ์ตามแนวทฤษฎีมาร์กซิสต์
เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการวิจารณ์ในแนวสัจนิยมในศตวรรษที่ 19
ซึ่งมีความเคลื่อนไหวอย่างมากในการศึกษาวรรณคดีกับสิ่งแวดล้อมทางสังคม
การศึกษาวรรณคดีในเชิงจิตวิทยาเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีก เช่น
การให้ความสนใจเกี่ยวกับความคลุ้มคลั่งของนักประพันธ์
การวิจารณ์ตามแนวตำนานเป็นการวิจารณ์วรรณกรรมอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในศตวรรษที่
20 ลักษณะของการวิจารณ์ตามแนวนี้มีความคล้ายคลึงกับการวิจารณ์แนวอื่น ๆ หลายแนว เหมือนกับการวิจารณ์ตามแนวรูปแบบนิยมในแง่ที่เรียกร้องให้มีการศึกษาตัวงานที่จะวิจารณ์อย่างละเอียด
เหมือนกับการวิจารณ์แนวจิตวิทยาตรงที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างงานศิลปะวรรณคดีกับผู้อ่าน มีส่วนคลายคลึงกับการวิจารณ์แนวสังคมวิทยาในแง่ของการศึกษา และพิจารณาพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบบทางวัฒนธรรม
และยังเหมือนกับการวิจารณ์แนวประวัติศาสตร์
เพราะมีการตรวจสอบสังคมหรือวัฒนธรรมในอดีต แต่ต่างกันตรงที่การวิจารณ์แนวตำนาน
แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงในคุณค่าของวรรณคดีไม่จำกัดเฉพาะเพียงเวลาในอดีตช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น
การวิจารณ์แนวสุนทรียศาสตร์เป็นแนวการวิจารณ์ที่ได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์ชาวอังกฤษและอเมริกัน
โดยให้สนใจวิเคราะห์ตัวบทมากกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ หรือ
สิ่งแวดล้อมทางสังคมในวรรณคดี
เพราะว่าเป็นองค์ประกอบที่ไม่สำคัญเมื่อเทียบกับความงามทางศิลปะ การวิจารณ์แนวรูปแบบนิยมของรัสเซีย เป็นแนวการวิจารณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซียในตอนต้นศตวรรษที่
20 โดยพื้นฐานมาจากอิทธิพลของนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 และจากกลุ่มกวีสัญลักษ์นิยมของรัสเซีย
เป็นการศึกษาและวิจารณ์วรรณคดีโดยเน้นไปที่ตัวบทเช่นเดียวกับการวิจารณ์ตามแนวสุนทรียศาสตร์ด้วยการนำความรู้ทางด้านภาษาศาสตร์มาวิเคราะห์โครงเสร้างของภาษา
การวิจารณ์ตามแนวโครงสร้างนิยมของฝรั่งเศสเกิดขึ้นในทศวรรษ 1950
เป็นแนวการวิจารณ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่อาศัยภาษาศาสตร์สมัยใหม่เป็นแม่แบบในการวิจารณ์เช่นเดียวกับการวิจารณ์แนวรูปแบบนิยมและสุนทรียศาสตร์
จะเห็นได้ว่าแต่ละยุคของการวิจารณ์วรรณคดีมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย
ๆ เมื่อมีการคิดค้นการศึกษาศาสตร์แห่งวรรณคดีมากขึ้น
ก็จะทำให้พบกับแนวทางในการวิจารณ์วรรณคดีที่หลากหลาย
การวิจารณ์วรรณคดีในแต่ละยุคทำให้กรอบแนวคิดในการวิจารณ์
ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะศึกษาและเข้าใจตัวบทได้มากขึ้น
แต่ละยุคแต่ละทฤษฎีมีทั้งความเหมือนและความต่างกัน
แต่ทุกยุคทุกสมัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกันเสมอ ทุกศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณคดีทั้งนั้น เช่น
ศาสตร์ทางด้านสังคมที่มีการนำมาใช้ในการศึกษาวรรณคดี ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่นำมาใช้ในการศึกษาผู้เขียน วรรณคดีทำตัวศาสตร์ต่าง ๆ
นั้นมารวมตัวกันเพื่อใช้ในการวิจารณ์วรรณคดีออกมา เราสามารถนำทฤษฎีต่าง ๆ
มาประยุกต์ใช้ในงานได้ การเลือกทฤษฎีให้เหมาะสมกับตัวบทที่เราใช้ ทฤษฎีต่าง ๆ
มีทั้งการศึกษาทั้งภายนอกและภายในของตัววรรณคดี
การที่เราเลือกนำมาประยุกต์ใช้ทำให้เรามองอย่างเป็นระบบและรอบครอบ
เพราะสามารถศึกษาได้ทั้งภายนอกและภายในทำให้เราสามารถวิเคราะห์วรรณคดีได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดิฉันเห็นด้วยกับการวิจารณ์วรรณคดีที่มีศาสตร์ที่หลากหลายในการเลือกมาใช้ในการวิจารณ์และนักเขียนนั้นผลงานไม่มีความตายตัวนักวิจารณ์จึงต้องมีการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีใหม่
ๆ ได้เสมอ
ทั้งทฤษฎีเกี่ยวกับภายในและภายนอกของตัวบท
เมื่อสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปแต่ละช่วงแต่ละสมัย ย่อมส่งผลทำให้ความคิดและองค์ประกอบอื่น ๆ
มีความเปลี่ยนแปลงไปด้วยเสมอ
นักคิดนักเขียนก็ต่างมีพัฒนาการที่มากขึ้น
และเมื่อมีการพัฒนากันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนก็ยิ่งทำให้การวิจารณ์นั้นสำคัญมากขึ้นไปอีก
เพราะต้องมีการศึกษาวิจารณ์แนวคิดของนักเขียนที่มีต่องานต่อสังคมต่อโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้วิจารณ์ก็เปรียบเสมือนผู้ตีความให้กระจ่างในวรรณกรรมที่มักจะมีความคลุมเครือในงานเขียนนั้นเสมอ เพื่อนำมาประเมินค่าในตัวงานของวรรณกรรม