วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ห่วงถึงห่วงหา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ห่วงถึงห่วงหา” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้ฉันคิดว่าเป็นความรู้สึกของช่วงวัยเรียน  จะมีคนที่ทำตัวว่าเก่งอยู่เสมอ รู้ไปเสียทุกอย่าง  แต่ว่ากลับไม่คิดแม้จะอ่านหนังสือ  ไม่มีใครต้องมาห่วงตนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม   แต่ถ้าเกิดเอาแต่หยิ่งผยองไม่หาความรู้เพิ่มเติม เป็นดังกบในกะลา เมื่อวันใดวันหนึ่งมันทำให้เห็นว่า  สิ่งที่ตัวคิดว่าเก่งกาจ ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด  แต่เรากลับพลาดมันอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองที่สุด   เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะถูกเยียบให้จมดินจนเราไม่มีความมั่นใจในตัวเองเหมือนดั่งที่ผ่านมา  

                จริง ๆ  แล้วคนทุกคนในโลกนี้ต่างมีคนที่เขาเป็นห่วงเราจากใจจริงเสมอ  เพียงแต่ว่าเราอาจจะมองข้ามคนเหล่านี้ไปบ้าง  เพราะมัวแต่หลงกับสิ่งที่ได้มาใหม่   แต่เมื่อวันไหนที่เราล้มคนเหล่านี้ คนที่เราเคยมองข้ามเขาไป เขานั้นจะมาอยู่ข้าง ๆ เรา และช่วยเป็นแรกผลักดันในเราก้าวไปข้างหน้าตามความฝันได้อย่างมั่นคง


ตีความ ชื่อบทกวี “คิดถึง” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “คิดถึง” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทนี้เป็นบทที่พูดถึงความรู้สึกของการคิดถึงใครสักคน  เมื่อเราคิดถึงใครสักคนเราย่อมรู้อยู่แล้วว่ามันรู้สึกเช่นไร ทั้งอยากเจอ อยากไปอยู่ใกล้ ๆ อยากให้เขาคิดถึงเราบ้าง อยากเจอเราบ้างก็คงดี   แต่สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นแค่ความคิดความรู้สึกของเราอยู่ฝ่ายเดียว  ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง 

                เราต่างมองเห็นได้แค่ความรู้สึกของตนเอง  เราคิดถึงเขา อยากเจอเขา  แต่พอเราไม่ได้เจอเราก็รู้สึกเศร้า รู้สึกเสียใจ ท้อกับการต้องเฝ้ารอคอยที่จะเจอเขา   แต่เมื่อเราไม่เจอเราก็จะคิดเอาว่าเขาคงไม่ได้อยากเจอเราหรอก  คงเป็นเราเองมากกว่าที่อยากเจอ เพราะการได้เจอเขามันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเรา

                ฉันคิดว่าการที่เราได้มีใครสักคนให้คิดถึงมันเป็นเรื่องที่ดี  อย่างน้อยความรู้สึกของเราก็ได้ยืนยันว่าเรามีความรู้สึก ยังไม่ได้ตายด้านเสียหน่อย ต่อมความรู้สึกของเรายังทำงานได้ดีอยู่ เพราะมันมีทั้งความรู้สึกดีใจที่ได้เจอ รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เจอ   อารมณ์ต่าง ๆ ของเรานั้นมันจะเปลี่ยนกลับไปกลับมาจนเราเองก็ตามไม่ทันความรู้สึกตัวเราเอง  แต่ว่าเราก็ควรระวังอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองสักนิด  อย่าหลงไปกับมันมากเกินไป เพราะถ้ามันไม่ได้เป็นแบบที่เราอยากให้เป็น  คนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวเราเอง  เราต้องพยายามห้ามใจไม่ให้หมกมุ่นกับมันมากเกินไป  เราคิดถึงเขาได้ แต่ว่าเราอย่าเขามาเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวในความรู้สึกของเรามากจนเราไม่มีความสุขในชีวิตเลย

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “สงสาร” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “สงสาร” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์


                บทนี้เป็นบทที่แสดงความรู้สึกของความรัก  ซึ่งความรักนั้นมันมีหลายรูปแบบ จากตอนแรกคนที่อาจจะไม่ได้รู้สึกกับเราแต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาอาจจะชอบเรากลับก็ได้    หรือบางทีความรักของคนบางคนก็อยากที่จะเป็นที่พักพิงให้  อยากดูแล อยากเป็นที่ปรึกษา อยากช่วยเหลือ  อยากเป็นทุกอย่างให้กับคนที่เรารัก  โดยที่หวังว่าเขาจะรักเราในสักวันหนึ่ง  แต่ถึงแม้เขาไม่รักเราก็ไม่เป็นไร  เพราะเราก็มีความสุขที่ได้อยู่ดูแลเขา  ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเราต้องเสียใจ แต่เราก็ยังเลือกที่จะทำแบบนี้อยู่ดี  

                ฉันคิดว่าบางทีความรู้สึกหวั่นไหวนั้นมันก็อาจจะทำให้เราสับสนได้ว่า  ตกลงเรานั้นรักเขาไหม  หรือแค่รู้สึกดีแต่ไม่ได้รัก  รู้สึกดีที่เขามาดูแล มาอยู่ข้าง ๆ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า มันใช่ความรักไหม   สิ่งเหล่านี้มันอาจจะต้องใช้เวลายาวนานในหารคิดไตร่ตรอง เพราะความรู้สึกของคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน   ถ้าคนหนึ่งคนมั่นคง  แต่คนอีกหนึ่งคนไม่มั่นใจ แน่นอนว่าถ้าความรู้สึกไม่ได้ไปทางเดียวกัน มันก็ไม่สามารถบรรจบกันได้  สุดท้ายต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไปอยู่ดี   

                เรื่องของความรักมันต้องเดินไปข้างหน้าพร้อมกันด้วยความรู้สึกที่มั่นคง   เชื่อใจ ไว้ใจ แต่ถ้าหากวันหนึ่งคุณต้องเสียคนคนหนึ่งที่เขาเคยมั่นคงกับคุณ   แต่ว่าคุณไม่เคยที่จะเห็นค่าของเขาในวันที่มีเขาอยู่   คุณจะไปโทษว่าเขาไม่มั่นคงกับคุณจริง ๆ หรอก ถ้าเขามั่นคงทำไมแค่นี้ก็ทิ้งคุณไปแล้ว แค่นี้ก็รับไม่ได้ เจอคนใหม่เขาก็ไป ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาหรอก  แต่คุณอย่าลืมมองมาที่ตัวของคุณเอง  ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับคุณ คุณนั้นเห็นเขาเป็นอะไรสำหรับคุณ  เพื่อน พี่น้อง หรืออะไร  ถ้าคุณคิดว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาว่าเขาถ้าหากวันหนึ่งเขาไปเจอคนใหม่ที่ให้เขาได้เท่ากับที่เขาให้   คนที่พร้อมจะเดินไปกับเขา คนที่ชัดเจนในความรู้สึกกับเขาได้   เพราะถ้าคุณเห็นเขาเป็นคนในครอบครัว คุณก็ควรที่จะยินดีกับเขา ถ้าเขาได้พบเจอกับคนที่รักเขาได้แบบที่เขารัก    แต่ถ้าคุณเกิดรู้สึกว่าคุณเสียใจที่เขาจากคุณไปคบกับคนอื่น   นั้นก็หมายความว่า คุณนั้นได้เสียคนที่รักคุณ และคนที่คุณรักไปให้คนอื่นเสียแล้ว ถึงเขาจะอยู่ข้าง ๆ คุณเหมือนเดิม เพราะเป็นเพื่อนคุณเหมือนเดิม  แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม มันคงเป็นความรู้สึกของคุณเองเสียมากกว่าที่ไม่เหมือนเดิม 

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ในหลวงของฉัน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



       ชื่อบทกวี “ในหลวงของฉัน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ
               
           บทกลอนนี้ผู้แต่งได้แต่งมาจากความรู้สึกของตัวเอง ที่ได้รู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9    
บทกลอนนี้ได้เริ่มต้นเล่าเรื่องจากในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อนที่ได้ไปรอรับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีผู้คนไปรอรับเสด็จ ประชาชนก็พร้อมใจกันมารอรับเสด็จ ทั้ง ๆ ที่การที่รอรับเสด็จในสมัยนั้นมีความลำบากอยู่มากกับประชาชน แต่ประชาชนก็พร้อมใจกันมายืนรอรับเสด็จต่างยินดีที่จะลำบากเพียงเพื่อได้มารอรับเสด็จพระองค์ บางคนไม่มีรองเท้าก็ต้องไปยืนอยู่ข้างหลังคนที่มีรองเท้า  แต่ทุกคนก็อยากเป็นส่วนร่วมในการมารอรับเสด็จพระองค์  เพียงแค่พระองค์นั้นแย้มสรวลให้ประชาชนก็ต่างตื่นตันใจแล้ว

เมื่อผ่านไป15 ปี ผู้แต่งก็ได้รับปริญญากับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ก็ทรงแย้มสรวลอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่านักศึกษาจะเยอะมากแค่ไหนก็ตาม ท่านไม่เคยหยุดแย้มให้กับประชาชนของท่านเลย   และท่านได้พระราชทานโอวาทไว้ว่า ให้เห็นงานส่วนรวมเป็นงานใหญ่  ซึ่งก็ทำให้ผู้แต่งนั้นได้จดจำคำนี้ไว้เป็นที่เตือนใจของตนไปตลอดชีวิต

แต่เมื่อเวลาผ่านไปในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็มีพระชันษาครบ 5 รอบ  ซึ่งท่านสูงเกินกว่าที่ท่านจะมอบสิ่งต่าง ๆ ให้กับใครได้เหมือนดั่งเมื่อก่อน  แต่ว่าท่านก็ยังทรงแย้มสรวลให้กับประชาชนของท่านมาตลอด  ทั้งหมดที่ท่านเคยสอนสั่งมาทำให้ผู้แต่งนั้นจดจำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไว้เป็นเครื่องเตือนใจที่จะไม่ทำตนไปในทางที่ไม่ดี  จะช่วยเหลือผู้คน และจะมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแพร่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้แต่งนั้นซาบซึ้งและจะขอเป็นทาสรองบาทของพระองค์ไปทุกชาติ  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือความภูมิใจของเหล่าคนไทย ที่ได้เกิดมาในประเทศนี้

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “โศลกไพร” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “โศลกไพร” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้เป็นเกี่ยวกับป่าไม้  คนสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อเรื่องเจ้าป่าเจ้าเขากัน  จึงคิดว่าตนได้ดูแลรักษาป่าเป็นอย่างดีแล้ว  เพื่อที่จะสนองต่อเจ้าป่าเจ้าเขาที่มีต้นน้ำลำธาร พืชพันธุ์สัตว์ป่าให้ได้หล่อเลี้ยงชีวิตของมนุษย์   แต่ว่าการที่คนเราได้กระทำต่อป่าแบบนี้มันคือการรุกล้ำป่า  เพราะมันเป็นการทำลายป่า  เพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่าที่จะเรียกว่าดูแล  เพราะว่าการที่เราเข้าไปล่าสัตว์ในนั้น หรือไปตัดไม้ทำลายป่าเอามาใช้โดยที่เราเอาแต่ทำลาย แต่เราไม่คิดที่จะปลูกต้นไม้ขึ้นมาทดแทน หรือการที่ไม่คิดจะเว้นช่วงให้สัตว์ป่าได้ผสมพันธุ์กันตามฤดูกาล มันก็เป็นการทำลายระบบนิเวศของป่าอยู่ดี  

ถึงแม้ว่าอาจจะมีทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา เซ่นไหว้ของต่าง ๆ นานาก็ตาม แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถมาทดแทนสิ่งที่ป่าสูญเสียไปได้  เช่น ต้นไม้ที่มีอายุมาเป็นร้อย ๆ    สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ เป็นต้น   เมื่อเราตัดต้นไม้มาใช้ เราก็ควรที่จะปลูกต้นใหม่ทดแทนเพื่อได้มีการหมุนเวียนในธรรมชาติในอนาคตข้างหน้า แต่ก็ไม่ควรที่จะตัดมาเกินความจำเป็นในการใช้สอยในการดำรงชีวิต    

สิ่งที่มนุษย์ทำนั้นมันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่มนุษย์คิดไว้ มนุษย์คิดคือการบูชาป่า เหมือนว่าป่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์   แต่สิ่งที่มนุษย์ทำคือการหวังที่จะเอาประโยชน์จากป่าอยู่ฝ่ายเดียว  ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ก็ต้องพึ่งพาอาศัยป่า  แต่กลับไม่คิดจะดูแล  จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ  มันจึงเป็นเรื่องที่หน้าเศร้าที่มนุษย์ต่างไม่เห็นคุณค่า และไม่รู้จักดูแลรักษา  เมื่อป่าได้ทรุดโทรมจนถึงวันที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับสัตว์ในป่า หรือแม้กระทั้งมนุษย์เองก็ตาม ได้อีกต่อไป  เมื่อวันนั้นมาถึงมันคงสายเกินไปที่เราจะมานั่งเห็นคุณค่าของป่าเสียแล้ว     

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง แอนิมอล ฟาร์ม ของ ยอร์จ ออร์เวลล์ ผู้แปล เพชร ภาษพิรัช



รีวิวหนังสือเรื่อง แอนิมอล  ฟาร์ม

 แอนิมอล  ฟาร์ม


ชื่อเรื่อง                   แอนิมอล   ฟาร์ม
ผู้แต่ง                      ยอร์จ  ออร์เวลล์
ผู้แปล                     เพชร   ภาษพิรัช
สำนักพิมพ์             ไทยควอลิตี้บุ๊ค(2006),บจก.


                เรื่องเป็นแนวนิทานผสมกับการเมือง  ซึ่งการเล่าเรื่องเหมือนเป็นนิทาน  แต่ว่ามีเนื้อหาของการเมืองผสมอยู่เยอะมาก   เรื่องนี้มันมีเหตุการณ์น่าสนใจอยู่หลายอย่าง และยังให้แง่คิดอีกมากมาย   ข้อคิดที่ได้เห็นอย่างชัดเจนเลยก็คือ เราต่างไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร   เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอเมื่อมีอำนาจในการครอบงำ   ไม่ว่าจะพวกเดียวกันหรือคนละพวก ต่างที่จะมาเป็นมิตรกันได้เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน และต่างพร้อมจะหักหลังได้ทันทีเมื่ออีกฝ่ายหมดผลประโยชน์  นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาสาระและแง่คิดต่าง ๆ อีกมากมายในหนังสือเล่มนี้ที่รอให้คุณได้เข้าไปค้นพบด้วยตัวคุณเอง


วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง เรื่องของจัน ดารา ของ อุษณา เพลิงธรรม



รีวิวหนังสือเรื่อง   เรื่องของจัน   ดารา

เรื่องของจัน   ดารา



ชื่อเรื่อง                   เรื่องของจัน   ดารา
ผู้แต่ง                      อุษณา   เพลิงธรรม
สำนักพิมพ์             มติชน

          
      หนังสือเรื่องนี้หลาย ๆ ท่านคงรู้สึกคุ้น ๆ กับเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว  เพราะว่าหนังสือเรื่องนี้ได้ทำเป็นภาพยนตร์หลายเวอร์ชันมาก แต่ว่าถ้าท่านได้อ่านตัวบทที่เป็นหนังสือดู มันจะทำให้ท่านได้รับความรู้สึกที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์มาก   เพราะว่าหนังสือนั้นไม่ได้โป๊เปลือยหรือลามกเท่ากับในภาพยนตร์เลย   ในหนังสือมีฉากอิโรติกจริงและสัมผัสถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี   แต่ว่าไม่ถึงขั้นกับเป็นหนังสือลามกเหมือนอย่างในเวอร์ชันภาพยนตร์  

ในหนังสือกับทำให้รู้สึกเศร้าและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอกแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี   มันเป็นการบรรยายที่เรื่อย ๆ แต่ได้รู้จักตัวละครในเรื่องอย่างละเอียด  ทั้งเรื่องเพศและเรื่องจิตใจ  เข้าใจสภาวะต่าง ๆ ของตัวละครในเรื่องว่าทำไม แต่ละตัวถึงได้ทำกริยาอย่างนั้นออกมา  มันทำให้เราเห็นปมต่าง ๆ ในเรื่อง  เห็นที่มาที่ไปของตัวละครและเห็นสภาวะจิตที่ไม่ปรกติของตัวละครในเรื่องที่แสดงออกมาผ่านสัญชาตญาณดิบของมนุษย์นั้นก็คือเรื่องเพศที่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน   หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าและมีความรู้มากกว่าจะเป็นแค่หนังสืออิโรติกธรรมดาๆ สามัญที่ท่านได้เคยพบเจอ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “อรุโณทัย” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “อรุโณทัย” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทความนี้เกี่ยวกับคนที่นอนหลับอยู่   จะเห็นได้ว่าในบทกลอน ฉากแรกที่เห็นคือ บรรยากาศตอนเช้าตรู ที่เริ่มมีแสงสว่างส่องลงมาจากฟ้า   แต่ว่าตัวละครของเรื่องไม่ได้เห็นแสงสว่างนั้นเลย  เพราะว่าเขายังนอนหลับอยู่  และความฝันของเขาก็กำลังดำเนินอยู่ต่อไป ทั้ง ๆ ที่ถ้าเกิดเขาไม่ตื่นในตอนนี้มันจะทำให้เขาตื่นสายได้  แต่เขาก็กลับนอนหลับต่อไปเพราะไม่เห็นแสงพระอาทิตย์ที่ส่องลงมา

                ในตอนนี้ฉันคิดว่ามันเป็นเรืองปกติของชีวิตคนอยู่แล้ว เพราะว่าเราเกือบทุกคนต้องเคยผ่านเหตุการณ์นอนตื่นสายกันบ้างสักครั้งในชีวิตซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะความผิดพลาดในชีวิตของเรา  คนทุกคนไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด  แต่ว่าคำว่าผิดพลาดนี้มันสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เพราะเมื่อเราเจอเรื่องที่เราผิดพลาดเมื่อไหร่  เราจะสามารถจดจำและไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก   

                และถ้าหากว่ามันคือความผิดพลาดของคุณ คุณจะสามารถมีโอกาสในการแก้ไขได้เพียงหนึ่งครั้ง  เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามันเกิดจากความผิดพลาด เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ    แต่ว่าถ้าหากว่ามันเกิดเหตุการณ์นี้กับเราเป็นประจำ หรือเราทำบ่อย ๆ มันจะไม่ใช่เรื่องผิดพลาดไปในทันที   แต่มันคือความตั้งใจ หรือไม่ก็ความขี้เกียจของเราเอง   ที่ทำให้เราสามารถทำสิ่ง ๆ เดิมได้ซ้ำ ๆ โดยที่ไม่พยายามจะปรับปรุงแก้ไขตัวเองเพื่อไม่ให้ทำผิดอีก   มันจะทำให้คุณหมดโอกาสของคำว่าอภัยไปโดยปริยาย

                

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง ดั่งเรือนร่างไร้องคาพยพ ของ ภู กระดาษ


รีวิวหนังสือเรื่อง  ดั่งเรือนร่างไร้องคาพยพ


ดั่งเรือนร่างไร้องคาพยพ



ชื่อเรื่อง                   ดั่งเรือนร่างไร้องคาพยพ
ผู้แต่ง                      ภู   กระดาษ
สำนักพิมพ์             มติชน

              
           หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องสั้นที่มีความแปลกใหม่ผสมผสานอยู่ในเนื้อหาของแต่ละเรื่อง  วิธีการเขียนของภู กระดาษต้องขอยอมรับเลยว่าเป็นการเขียนที่ลึกลับซับซ้อนในการมีความหมายแฝงที่อยู่ในเรื่องสั้นของแต่ละตอน   ซึ่งถ้าอ่านแบบทั่วไป จะทำให้เรารู้สึกว่ามันมีความผสมผสานระหว่างความเชื่อ เทพนิยาย และความเป็นจริง จะทำให้เราเห็นว่าชีวิตของคนเรานั้นมักผูกติดกับความเชื่อต่าง ๆ เหล่านั้นเสมอ  และได้เห็นชีวิตของคนลาวกับความเปลี่ยนไปของคนในพื้นที่

              
           แต่ถ้าหากว่าคุณสามารถอ่านแล้วตีความในสิ่งที่ผู้แต่งต้องการจะสื่อ   คุณจะได้เห็นเนื้อหาอีกแง่หนึ่งที่สะท้อนชีวิตและสังคมได้ดีมาก  บางทีเนื้อหาในเรื่องอาจจะทำให้ใครบางคนเจ็บถึงสุดขั้วหัวใจเลยก็ว่าได้  หากว่าคุณตีความหมายแฝงเหล้านั้นออก มันจะทำให้คุณได้สัมผัสกับรสชาติใหม่ที่ไม่ธรรมดาแบบทั่วไปได้เลยทีเดียว  บางทีถ้าคุณได้รู้ซึ่งในส่วนนี้แล้ว มันอาจจะทำให้คุณสนใจในและติดตามหนังสือนักเขียนคนนี้ไปตลอดเลยก็ว่าได้    

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “แกว่งสารส้ม” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


ชื่อบทกวี “แกว่งสารส้ม” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ
      
          บทนี้เกี่ยวกับการใช้สารส้มแกว่งน้ำที่ขุ่นนั้นให้ใสสะอาด   ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าสมัยก่อนนั้น  เราก็ใช้สารส้มในการแกว่งใส่น้ำในโอ่ง หรือภาชนะอะไรก็ได้ที่เราเอาไว้รองน้ำไว้ใช้   เพราะในสมัยก่อนนั้นเราไม่มีเครื่องกรองน้ำหรือน้ำเปล่าไว้ขายเหมือนในสมัยนี้  เราจึงได้นำสารส้มมาใช้เพื่อให้น้ำใสและสามารถเอาไปกินไปใช้ได้

 แต่ว่าการเราใช้สารส้มมันก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำนั้นจะสะอาดจริง ๆ เพียงแต่สิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำนั้นได้ลงไปนอนอยู่ใต้ล่างแทน  เราจึงต้องพยายามตักเบา ๆ เพื่อไม่ให้ตะกอนลอยตัวขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีก   ถ้าเปรียบกับสำนวนไทย ก็คงมาจากคำว่า  น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก   ซึ่งก็หมายความว่า เราควรจะเก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน  และใช้ความดีแสดงออกมาให้คนภายนอกได้เห็นมากกว่า  ถ้าเกิดเราทำให้ตะกอนที่ขุ่นอยู่ภายใจจิตใจแสดงออกมาปะปนกับน้ำใส มันก็จะทำความขุ่นมัวกระจายไปในน้ำใสกลายเป็นน้ำสกปรกไปทั่วทั้งหมด

ถ้าจะให้เปรียบกับคนในสังคม อาจจะยกตัวอย่างได้ว่าจิตใจคนนั้นก็เหมือนน้ำที่อยู่ในโอ่ง   เมื่อเวลาเราโกรธแล้วเราแสดงออกให้คนภายนอกเห็น เราก็เหมือนไปทำให้ตะกอนที่อยู่ในจิตใจนั้นได้ออกมาปะปนกับสิ่งดี ๆ ที่เราเคยสร้างขึ้น  แต่เมื่อตะกอนได้ปะปนเข้าเป็นเนื้อเดียวกับน้ำแล้ว มันก็ทำให้คนอื่นมองเราไปได้แต่ในทางที่ไม่ดี    แต่ถ้าเกิดว่าเราโมโหแต่เราพยายามที่จะไม่ทำให้ตะกอนมาปะปนกับสิ่งภายนอกที่เราสร้างขึ้น ถึงแม้ว่าภายใจเราจะขุ่นมัวแค่ไหนก็ตาม  แต่เราเลือกที่จะนิ่ง คนที่มองเราจากภายนอกก็จะมองเราในแง่ดีมากกว่าในแง่ลบ

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ถอดหน้ากาก” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “ถอดหน้ากาก” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้ทำให้ฉันได้มองย้อนกลับไปเมื่อวัยเด็ก  เด็กหลาย ๆ คนต่างเคยร้องขอให้พ่อแม่ซื้อหน้ากากให้ใส่ เพื่อเอาไปเล่นและสมมุติตัวเองว่ากำลังเป็นตัวตนของหน้ากากนั้นจริง ๆ  เช่น เมื่อสวมหน้ากากผี ก็จะเล่นเป็นผีไปหลอกเพื่อน ๆ ถ้าเป็นหน้ากากยอดมนุษย์ เราก็จะไปต่อสู่กับเพื่อน ๆ ที่เราคิดว่าเขาเป็นปีศาจ หรือคนที่เล่นอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา   แต่เมื่อเราถอดหน้ากากออกมา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นตัวเราในแบบปกติ  เล่นกันเหมือนเดิม คุยกันเหมือนเดิม สนิทกันเหมือนเดิม

                แต่เมื่อผ่านวัยนี้มาแล้ว เมื่อเราเติบโตขึ้น การที่เราเล่นสวมบทบาทเป็นตัวอะไรก็ตาม เมื่อเราถอดหน้ากากออกมาเป็นตัวเราเอง  แต่ว่าความรู้สึกชองอีกฝ่ายอาจจะไม่เหมือนเดิมเหมือนก่อนที่เราจะสวมหน้ากาก   บางทีอาจจะเป็นเพราะเราต่างคนต่างอินกับบทมากเกินไป หรืออาจจะเพราะเราแยกไม่ออกว่าอะไรคือตัวตนจริง ๆ  มันคงมองได้ยากกว่าตอนเป็นเด็กที่เราสามารถให้ความเชื่อใจและมั่นใจได้ว่าอันไหนคือตัวจริง  อันไหนคือหน้ากาก เพราะว่าเด็กจะรู้ได้ทันทีว่าอะไรเล่นหรืออะไรจริง ก็ต่อเมื่อสวมหน้ากากและสมมุติบทบาทกัน แต่ว่าการที่เป็นผู้ใหญ่   หน้ากากที่เราใส่นั้นมันก็คือหน้าเนื้อของเราเอง   ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวของเราเอง ถึงแม้ว่าเราจะใส่หน้ากากแบบไหนก็ตาม สักวันหนึ่งเราก็ต้องถอดมันออกมาอยู่ดี  คงไม่มีใครที่สามารถสวมหน้ากากไปได้ตลอดชีวิตอยู่ที่ว่า  หน้ากากหน้าเนื้ออันนั้นเราจะถอดมันออกมาให้ใครเห็นบ้างเท่านั้นเอง


วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “กิจ” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “กิจ” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้ทำให้เราเห็นว่า  สิ่งที่แท้จริงที่เราควรทำนั้นคืออะไร  เหมือนเช่นในบทนี้  ถ้ายุงเยอะ เราอย่าเอาแต่ตบยุงทีละตัว  แต่สิ่งที่เราควรทำคือการทำน้ำเท่าให้เป็นน้ำดี แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ  เพราะถ้าแก้ที่ปลายเหตุเราไม่มีทางที่จะแก้ได้สำเร็จแน่  เพราะแค่ทำปลายเหตุ แต่ต้นเหตุยังไม่ได้ทำอะไรเลยมันก็ไม่มีทางที่ปัญหาจะหมดไป  ถึงแม้ว่าปัญหาที่ต้นเหตุนั้นมันจะแก้ได้ยากมากแค่ไหนก็ตาม  แต่ถ้าเราหมั่นแก้ เหมือนดังที่ในบทนี้บอกว่าถ้าน้ำเน่าเราก็หมั่นเติมน้ำดีลงไป สักวันน้ำเน่าก็จะจางลงไป กลายเป็นน้ำดีได้

                ฉันคิดว่ามันสะท้อนให้เราเห็นว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ ถ้าเราแก้ไขมันที่ต้นเหตุและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เราต้องมองไปที่เป้าหมาย  สักวันหนึ่งเราก็จะแก้ไขมันได้สำเร็จ  เหมือนน้ำเน่าในคลอง ถึงแม้ว่าน้ำจะเยอะ ในคลองมากสักแค่ไหน แต่ถ้าเราขยันเติมน้ำดีลงไป แล้วไม่ทิ้งสิ่งที่ทำให้น้ำเน่าลงไปในคลอง มันก็สามารถกลายเป็นน้ำดีที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน เช่น ใช้ในการเลี้ยงปลา ใช้ในการรดน้ำต้นไม้ ได้ต่อไปในอนาคต แต่เราก็ควรที่จะรักษาดูแล เพื่อไม่ให้น้ำดีเหล่านั้นกลับมาเสียอีกดั่งในอดีตที่ผ่านมา    

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “สาวน้อยในสวน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “สาวน้อยในสวน” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้จะเห็นว่ามีการเลือกที่จะเด็ดใบเสียออกจากดอกไม้ในสวน  เพื่อที่จะรักษาใบดีไว้ เพื่อให้สวนนั้นสวยงามที่สุด ซึ่งในกลุ่มของดอกไม้ใบไม้ แต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน บางกลุ่มก็มีใบดีเยอะ บางกลุ่มก็มีใบเสียเยอะ  แต่ว่าในเรื่องเลือกที่จะเด็ดใบเสียออก  เพื่อรักษาใบดีของทุกกลุ่ม

                ถ้าเกิดว่ามองสะท้อนในสังคมนั้น  ฉันของยกตัวอย่างการมองในด้านของการเลือกคบเพื่อน  เพราะว่าหมู่ดอกไม้ก็คงจะไม่ต่างจากหมู่เพื่อนเท่าไหร่   เพราะว่าสังคมในกลุ่มเพื่อนนั้นมันก็จะมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป   มันก็อยู่ที่ว่ากลุ่มไหนจะดีมากกว่าเสีย หรือกลุ่มไหนจะเสียมากกว่าดี   แต่ว่าสังคมของเพื่อนนั้นคนเรามีความต้องการในการเลือกคบเพื่อนที่แตกต่างกัน  บางคนอาจจะชอบเพื่อนที่เอาแต่เรียน  บางคนอาจจะชอบเพื่อนที่เล่นมากกว่าเรียน  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าคบเพื่อนกลุ่มที่เล่นมากกว่าเรียนแล้วจะทำให้เราเป็นคนไม่ดีไปด้วย  เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเราเองที่จะเลือกว่าจะเป็นคนที่ดี หรือไม่ดี   ดังนั้นในการที่เรามองคนในแต่ละกลุ่ม   เราอย่าไปตัดสินว่ากลุ่มนี้ต้องเป็นไม่ดีกันทั้งหมด  หรือกลุ่มนี้ต้องดีทั้งหมด  แต่เราสามารถเลือกคบคนดี ๆ ของแต่ละกลุ่มได้  โดยที่เราเลือกที่จะมองเข้าไปในตัวตนของเขา มากกว่าที่จะตัดสินแค่กลุ่มดีกับไม่ดี
               

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนังสือเรื่อง นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ อ่านการเมืองไทย ลำดับที่ 3 การเมืองของเสื้อแดง



รีวิวหนังสือเรื่อง   นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ อ่านการเมืองไทย  ลำดับที่ 3   การเมืองของเสื้อแดง
การเมืองของเสื้อแดง



ชื่อเรื่อง                   นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ อ่านการเมืองไทย  ลำดับที่ 3   การเมืองของเสื้อแดง
ผู้แต่ง                      นิธิ   เอี่ยวศรีวงศ์ 
สำนักพิมพ์             openbooks

   
             หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุม  ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ และไม่เข้าใจคนกลุ่มนี้  และคิดว่าคนกลุ่มนี้มาเพราะว่ามีคนจ้างมา  ซึ่งในความจริงแล้วก็อาจจะมีบ้างเป็นบ้างส่วนเพราะมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีการว่าจ้างกันได้  แต่มันก็คงจะเป็นส่วนที่น้อยมากที่จะมาเพราะเงินจ้างจริง ๆ   ถ้ามองกันในความเป็นจริงโดยไม่มีอคติแล้ว   จะมีคนที่ยอมทิ้งบ้านช่องจากต่างจังหวัดเพื่อเขามาในกรุง เพียงเพราะเพื่อมารับเงินจริงหรือ และคนที่มาเข้าร่วมกันชุมนุมนั้นก็มีมาก   คงจะไม่มีใครที่จะมีเงินจ้างให้คนเหล่านี้มากันได้อย่างคลับคลั่ง  
   
             จากที่เราเคยรับรู้ว่าเสื้อแดงเป็นของทักษิณนั้น  มันอาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้   คนเสื้อแดงที่มาชุมนุมกัน เหตุที่เขาชอบทักษิณนั้นเพราะว่าทักษิณ ทำให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้น (ถึงแม้ทักษิณจะทำแบบผิวเผินก็ตาม)   แต่ว่าทักษิณก็ให้พวกเขาได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ซึ่งนักนากเมืองคนอื่น ๆ ไม่เคยทำให้พวกเขามาก่อน  เช่น ทักษิณได้มีนโยบาล 30 บาทรักษาทุกโรค  ทำให้คนที่อยู่ขนขั้นล่างได้มีสิทธิ์มากขึ้น    เหตุที่มีการชุมนุมคนเสื้อแดงนั้นเป็นเพราะพวกเขาอยากได้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มาเพื่อลูกหลาน เพื่ออนาคตที่พวกเขาควรจะได้รับ  หลังจากการที่พวกเขาโดนกดขี่มานาน พวกเขาจึงมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่สมควรจะได้   
          
      เรายังได้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองนั้นมาจากไหน ที่มาของคนเสื้อเหลือง  เราจึงสามารถที่จะค่อย ๆ ทำความเช้าใจกับเรื่องเหตุการณ์เมืองในอดีตได้   และเราก็ยังได้รู้ว่าสังคมไทยนั้นได้มีการพยายามจะวนลูบเพื่อรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ประชาชนล้มล้างอำนาจของตนได้  ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่รุนแรงเพื่อจบทุกปัญหาอย่างที่ผ่าน ๆ มา
          
      ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแค่บางส่วนในเล่มนี้ เพราะว่ายังมีประเด็นทางการเมืองที่น่าสนใจอยู่อีกหลาย ๆ อย่างในช่วง พ.ศ. 2553 ทำให้เราสามารถมองการเมืองได้กว้างขึ้นกว่ากรอบที่เราเคยถูกครอบเอาไว้



วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ช่อฟ้า” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “ช่อฟ้า” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้ในตอนแรกเราจะได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่ดังกระหึ่มไปทั่วหมูบ้านในช่วงเย็น ๆ ใกล้ค่ำ   มีทั้งเสียงของเป็ดและห่านที่เดินขบวนกลับเข้าเล้า มีเสียงของกระดิ่งที่คอวัว  และยังมีเสียงคนเดิน  แต่เมื่อถึงช่วงค่ำเสียงต่าง ๆ ก็จะหายไปเหลือแต่เสียงของกระดิ่งวัวเท่านั้นที่ยังพอดังอยู่ยามค่ำคืน  

                เหนือกระท่อมซอมซ่อจะเห็นช่อฟ้าที่สวยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าสีเทา  กระท่อมน้อยที่อยู่ในเงามืด ถึงแม้ว่าฟ้าจะสว่างจนเห็นช่อฟ้าที่แพรวพราวได้ชัดเจนและสวยงามก็ตาม  แต่ว่ากระท่อมน้อยก็ยังคงอยู่แต่ในความเงียบไม่ต่างจากเดิมเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา  ตัดภาพมาที่เด็กน้อยมองดูตู้กับข้าวที่มีอาหารคาวหวานเยอะแยะมากกว่าปกติ  เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระ เด็กน้อยได้แต่เปิดฝาชีมองดูอาหารในนั้นแล้วได้แต่ยืนมองจนมือสั่น

                บทนี้ฉันคิดว่ามันเปรียบเสมือนกับว่าสิ่งที่มันอยู่ในเงามืดถึงแม้จะมองสิ่งต่าง ๆ ได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้เห็นอะไรหลายอย่าง แต่ว่ามันก็ทำได้แค่มอง ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้  ก็เหมือนกับเด็กที่เปิดฝาชี  ซึ่งเขายังไม่สามารถที่จะกินอาหารตรงหน้าได้  ได้แต่เปิดฝาชีมองดูอาหารด้วยมือที่สั่นเทา และต้องรอคอยอย่างมีความหวัง เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระเขาอาจจะได้กินอาหารเหล่าหวังว่าอาหารเหล่านี้จะได้ตกถึงท้องเขาบ้าง   

                 มันทำให้ฉันคิดว่าคนเรายังมีค่านิยมบางอย่างที่ยึดติดกันแบบผิด ๆ อยู่   เมื่อวันวันพระมาถึง  คนทุกคนไม่ว่าจะรวยหรือจน ก็ต้องการที่จะหาของดี ๆ  ไปถวายพระ  โดยที่ไม่เคยคำนึงเลยว่าร่างกายเราก็ต้องการของดี ๆ เพื่อบำรุงตัวเองให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเด็ก ๆ นั้นต้องการอาหารดี ๆ ที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายให้แข็งแรงและสมบูรณ์ เพื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีอนาคตในวันข้างหน้า  แต่ว่าค่านิยมเรื่องอาหารของเรากลับกลายเป็นลดคุณค่าของตัวเราเอง เพราะคนเราต่างคิดว่าต้องนำของดี ๆ มาใส่เท่านั้น  เพื่อที่จะได้บุญได้กุศลทั้ง ๆ ที่ปกติตัวเองต้องอดกันมากแค่ไหนก็ตาม  เราก็พากันกพเสือกกะสนหาของดี ๆ ที่เราไม่เคยได้กินมันเลยในชีวิตประจำวันมาใส่บาตร  แต่เราไม่เคยตะหนักถึงตัวของเราเองเลยเราก็ต้องการของมีประโยชน์เหล่านั้นเหมือนกัน การทำบุญมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันเป็นความเชื่อของแต่ละคน  แต่ว่าถ้าการทำบุญมันกลับกลายเป็นการเบียดเบียนชีวิตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว  นั้นมันก็อาจจะกลายเป็นการทำบุญได้บาปโดยที่เรานั้นไม่รู้ตัว และไม่เคนตะหนักถึงมันมาก่อน  ในเมื่อคนในครอบครัวยังอดอยากปากแห้งอยู่  แต่เรากลับเลือกที่จะทำบุญมากกว่าบำรุงคนในครอบครัว  มันทำให้เห็นว่า เราเลือกที่จะมองสิ่งที่มันสว่างกว่าตัวของเรา แต่เราไม่คิดที่จะทำให้ตัวของเราเองหรือสิ่งรอบ ๆ ตัวของเรา และพยายามทำให้มันดีขึ้น พยายามทำชีวิตให้ได้สว่างขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่สว่างเหมือนคนอื่นเขาแต่เราก็ไม่ควรที่จะทำให้มันต้องตกอยู่ในความมืดโดยที่ไม่มีวันที่จะสว่างขึ้นมาได้เลย  ถ้าเราเอาแต่มองสิ่งที่สว่างกว่าโดยที่เราเอาแต่มองอย่างเจียมตัวอยู่แบบนั้นเราก็คงได้แต่มองมันไปตลอดชีวิต  แต่ถ้าเราพัฒนาตัวเอง พยายามหาโอกาสในชีวิตที่มีแสงสว่างส่องลงมาบ้าง แล้วกล้าที่จะไขว่คว้ามันอย่างไม่ย่อท้อสักสักวันแสงสว่างนั้นก็จะส่องมันมาถึงเราได้อย่างแน่นอน