วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ช่อฟ้า” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ



ชื่อบทกวี “ช่อฟ้า” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

ตีความ

                บทนี้ในตอนแรกเราจะได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่ดังกระหึ่มไปทั่วหมูบ้านในช่วงเย็น ๆ ใกล้ค่ำ   มีทั้งเสียงของเป็ดและห่านที่เดินขบวนกลับเข้าเล้า มีเสียงของกระดิ่งที่คอวัว  และยังมีเสียงคนเดิน  แต่เมื่อถึงช่วงค่ำเสียงต่าง ๆ ก็จะหายไปเหลือแต่เสียงของกระดิ่งวัวเท่านั้นที่ยังพอดังอยู่ยามค่ำคืน  

                เหนือกระท่อมซอมซ่อจะเห็นช่อฟ้าที่สวยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าสีเทา  กระท่อมน้อยที่อยู่ในเงามืด ถึงแม้ว่าฟ้าจะสว่างจนเห็นช่อฟ้าที่แพรวพราวได้ชัดเจนและสวยงามก็ตาม  แต่ว่ากระท่อมน้อยก็ยังคงอยู่แต่ในความเงียบไม่ต่างจากเดิมเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา  ตัดภาพมาที่เด็กน้อยมองดูตู้กับข้าวที่มีอาหารคาวหวานเยอะแยะมากกว่าปกติ  เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระ เด็กน้อยได้แต่เปิดฝาชีมองดูอาหารในนั้นแล้วได้แต่ยืนมองจนมือสั่น

                บทนี้ฉันคิดว่ามันเปรียบเสมือนกับว่าสิ่งที่มันอยู่ในเงามืดถึงแม้จะมองสิ่งต่าง ๆ ได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้เห็นอะไรหลายอย่าง แต่ว่ามันก็ทำได้แค่มอง ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้  ก็เหมือนกับเด็กที่เปิดฝาชี  ซึ่งเขายังไม่สามารถที่จะกินอาหารตรงหน้าได้  ได้แต่เปิดฝาชีมองดูอาหารด้วยมือที่สั่นเทา และต้องรอคอยอย่างมีความหวัง เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระเขาอาจจะได้กินอาหารเหล่าหวังว่าอาหารเหล่านี้จะได้ตกถึงท้องเขาบ้าง   

                 มันทำให้ฉันคิดว่าคนเรายังมีค่านิยมบางอย่างที่ยึดติดกันแบบผิด ๆ อยู่   เมื่อวันวันพระมาถึง  คนทุกคนไม่ว่าจะรวยหรือจน ก็ต้องการที่จะหาของดี ๆ  ไปถวายพระ  โดยที่ไม่เคยคำนึงเลยว่าร่างกายเราก็ต้องการของดี ๆ เพื่อบำรุงตัวเองให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเด็ก ๆ นั้นต้องการอาหารดี ๆ ที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายให้แข็งแรงและสมบูรณ์ เพื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีอนาคตในวันข้างหน้า  แต่ว่าค่านิยมเรื่องอาหารของเรากลับกลายเป็นลดคุณค่าของตัวเราเอง เพราะคนเราต่างคิดว่าต้องนำของดี ๆ มาใส่เท่านั้น  เพื่อที่จะได้บุญได้กุศลทั้ง ๆ ที่ปกติตัวเองต้องอดกันมากแค่ไหนก็ตาม  เราก็พากันกพเสือกกะสนหาของดี ๆ ที่เราไม่เคยได้กินมันเลยในชีวิตประจำวันมาใส่บาตร  แต่เราไม่เคยตะหนักถึงตัวของเราเองเลยเราก็ต้องการของมีประโยชน์เหล่านั้นเหมือนกัน การทำบุญมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันเป็นความเชื่อของแต่ละคน  แต่ว่าถ้าการทำบุญมันกลับกลายเป็นการเบียดเบียนชีวิตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว  นั้นมันก็อาจจะกลายเป็นการทำบุญได้บาปโดยที่เรานั้นไม่รู้ตัว และไม่เคนตะหนักถึงมันมาก่อน  ในเมื่อคนในครอบครัวยังอดอยากปากแห้งอยู่  แต่เรากลับเลือกที่จะทำบุญมากกว่าบำรุงคนในครอบครัว  มันทำให้เห็นว่า เราเลือกที่จะมองสิ่งที่มันสว่างกว่าตัวของเรา แต่เราไม่คิดที่จะทำให้ตัวของเราเองหรือสิ่งรอบ ๆ ตัวของเรา และพยายามทำให้มันดีขึ้น พยายามทำชีวิตให้ได้สว่างขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่สว่างเหมือนคนอื่นเขาแต่เราก็ไม่ควรที่จะทำให้มันต้องตกอยู่ในความมืดโดยที่ไม่มีวันที่จะสว่างขึ้นมาได้เลย  ถ้าเราเอาแต่มองสิ่งที่สว่างกว่าโดยที่เราเอาแต่มองอย่างเจียมตัวอยู่แบบนั้นเราก็คงได้แต่มองมันไปตลอดชีวิต  แต่ถ้าเราพัฒนาตัวเอง พยายามหาโอกาสในชีวิตที่มีแสงสว่างส่องลงมาบ้าง แล้วกล้าที่จะไขว่คว้ามันอย่างไม่ย่อท้อสักสักวันแสงสว่างนั้นก็จะส่องมันมาถึงเราได้อย่างแน่นอน