วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ตีความ บทกวี “บันทึกลับกระบือหนุ่ม” ในกวีนิพนธ์แห่งชีวิต “ใบไม้ที่หายไป” โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา

 



บทนี้เป็นบทที่กล่าวถึงฝูงควายฝูงหนึ่งที่ถูกกักขังอยู่ในคอกแคบๆ ที่แสนอนาถา อาหารที่ให้พวกควายกินล้วนแต่เป็นเศษซากเน่าๆ ซึ่งคนที่เป็นคนคอยดูแลควายนั้นมักจะพูดจาดูถูกและเหยียดหยามว่าควายนั้นโง่ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ หลอกใช้ยังไงก็รู้ไม่เท่าทันคน

ซึ่งคนนั้นมักจะใช่แรงงานควายอยู่เป็นประจำ โดยที่ตัวเองอยู่บนหลังของควาย ใส่สายสนตะพายเพื่อใช้ควายไถนา หากควายตัวไหนไม่ทำตามคำสั่ง ควายตัวนั้นย่อมถูกทำโทษ และเมื่อไหร่ที่ควายคิดจะสู้นั้นหมายถึงการจบชีวิตของควายด้วยปืนในมือเขานั่นเอง

ซึ่งในช่วงหลังของกวีบทนี้ได้มีการแทนความคิดของควาย วันหนึ่งมีควายตัวหนึ่งเบื่อชีวิต และไม่อยากจะทำงานไถนาอีกแล้ว จึงปลดแอกตัวเองให้หลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ด้วยการสู่กับคน แน่นอนว่าคนใช้ปืนจบชีวิตควายทันที และก่อนที่ควายจะถูกยิง ควายได้คิดว่า ทางนี้มันคือทางเดียวจริงๆ ใช่ไหม ที่ตนจะหลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ได้ 

ในมุมมองของฉันที่อ่านบทกวีบทนี้จบ ฉันกลับมีคำถามขึ้นมาให้หัวว่า สรุปแล้ว คนหรือควายใครกันแน่ที่โง่กว่ากัน ควายรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากความลำบาก จากการทำงานที่เหนือย และไม่อยากจะทำตามคำสั่งอีกต่อไป จึงเลือกที่จะจบชีวิตของตนเองด้วยการต่อต้านคนเพื่อให้ถูกฆ่าตาย แต่คนนี่สิ ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปนานเท่าไหร่ ถึงจะหลุดพ้นจากการทำงานเหล่านี้ 

ที่สำคัญการดูถูกคนอื่น การมองว่าคนอื่นต่ำต้อยและโง่เง่านั้น ฉันกลับรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่ เพราะการที่ด่าคนอื่น แต่ตัวเองยังต้องพึ่งคนที่ตัวเองด่าอยู่วันยังค่ำ แบบนี้เรียกว่าอะไร ลองคิดดูว่าหากคนฆ่าควายจนหมดแล้วจะเอาอะไรไว้ใช้งาน หากควายป่วย หรือล้มตายกันเอง ใครล่ะที่จะต้องเสียเงินไปซื้อควายใหม่ ใครกันที่จะเสียหาย แน่นอนว่าก็คนเองทั้งนั้น 

แต่การที่ควายเลือกที่จะถูกฆ่าตาย ควายได้รับอิสระไปเต็มๆ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องใช้ชีวิตยากลำบาก ไม่ต้องทนให้โดนด่า ที่สำคัญควายได้เลือกชีวิตของตัวเองแล้ว แล้วคนล่ะเลือกอะไรให้ตัวเองได้บ้างหรือยัง