แนวคิดของ มิแช็ล
ฟูโกต์
สรุป เรื่องวรรณกรรม
ฟูโกต์จะออกจากอัตลักษณ์ที่ตายตัวเพื่อเป็นอื่นไปเรื่อยๆ
ถ้าเราคิดว่านักเขียนคือผู้ที่เขียนตัวบท ก็เท่ากับว่าทุกอย่างที่เราเขียนเป็นตัวบททั้งหมดแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นนักเขียน
ตัวบทต้องไม่ใช่ทุกอย่างที่เขียน
มีแค่ตัวบทบางประเภทเท่านั้นที่เรามองว่าเป็นผลงาน
นักเขียนถูกกำหนดขึ้นโดยสังคมเป็นตัวบอกให้เป็น เช่น
ดาราภาพยนตร์เขียนอัตชีวประวัติโดยความช่วยเหลือ หรือ
บอกเล่ากับใครบางคนไม่ได้ลงมือเขียนเอง
ดาราเป็นนักเขียนไม่ได้แค่การเป็นที่มาหรือผู้ผลิตในตัวบทบางประเภทแต่เป็นการรับผิดชอบงานเขียนขึ้นนั้น บทบาทของนักเขียนแสดงบทบาทที่สัมพันธุ์กับความนิยามทางสังคมและวัฒนธรรม
ฟูโกต์สนใจประเด็นเรื่องบทบาทของนักเขียนที่ไม่ประสงค์จองจำอัตลักษณ์เพียงอัตลักษณ์เดียว
“ฟูโกต์กล่าวไว้ว่า บทบาทของนักเขียนในตัวบท
“ที่มีนักเขียน” ผู้เขียนต้องใช้หลายตัวตนเพื่อทำหน้าที่นักเขียน
” (หน้า31)
ภาษาที่ใช้ในการเขียนไม่ได้เป็นตัวของนักเขียนจริง ๆ
แต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา
ตัวบทจะมีคนพูดที่หลากหลาย
แต่ต้องแยกให้ออกว่าใครเป็นคนกล่าวไว้
สังคมเป็นตัวกำหนดภาษา และ ภาษาเป็นตัวกำหนดคำพูด ภาษาต้องอยู่ในยุคนั้นถึงจะเข้าใจภาษานั้นได้
สังคมจึงเป็นการกำหนดภาษาในการเขียนของสิ่งต่าง ๆ ตัวบทเป็นสิ่งที่ภาษาเป็นคนพูด ความคิดของฟูโกต์งานเขียนไม่ได้เป็นการเขียนเพื่อแสดงตัวตน
เพื่อบอกถึงอัตลักษณ์ของตัวเองในงานเขียน
แต่งานเขียนเป็นการเขียนเพื่อสลายตัวตนโดยใช้ภาษาเป็นตัวกระทำ
กติกาของภาษาคือ
เราสามารถพูดคำต้องห้ามได้ออกมาได้มากน้อยแค่ไหน
งานเขียนที่ก้าวล่วงล้ำกรอบของพันธนาการของภาษาให้พ้นจากสิ่งที่รู้และความสามารถที่แสดงออกก็คือ
การใช้ภาษาที่ไปไกลมากที่สุดจากกรอบที่สังคมวางไว้
เป็นเส้นทางใหม่ของภาษาที่ออกนอกกรอบของภาษาให้ไร้ข้อกำหนดของภาษา ไร้ทิศทางและปกปิดตัวของมันเอง เราไม่สามารถพูดคำต้องห้ามได้ แต่เราสามารถเขียนคำต้องห้ามได้
สรุป วงศาวิทยา
การจำแนกทางโบราณคดีวิทยา
4 แบบนำไปใช้กับภาษาและเป้าหมายคืออำนาจทางกายภาพ
วินัยและการลงทัณฑ์ไม่ได้สนใจแค่ภาษาแต่เป็นอำนาจในการเปลี่ยนแปลงโลก
โบราณคดีวิทยาเป็นการวิเคราะห์แบบโครงสร้าง
วินัยและการลงทัณฑ์เป็นเรื่องที่จะเข้ามาเสริมโบราณคดีวิทยานี้คือสิ่งที่เรียกว่าวงศาวิทยาเหมือนที่ฟูโกต์ในบทวินัยและการลงทัณฑ์ว่า
“หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้น...ในฐานะวงศาวิทยาของสถาบันทางกฎหมาย-วิยาศาสตร์สมัยใหม่”
วงศาวิทยาคือ
วัตถุของการศึกษาของประวัติศาสตร์
คือต้นกำเนิดของกฎ การปฏิบัติ หรือ สถานที่
ชองอำนาจอยู่ในปัจจุบันและอ้างว่ามีอำนาจเหนือเรา ความหมายของเจตนาหลักของวงศาวิทยาไม่ใช่การเข้าใจอดีตแต่เป็นการศึกษาอดีตเพื่อให้เข้าใจปัจจุบันและนำมาประเมินค่าในปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อทำลายความชอบธรรมของอำนาจที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยตัวมันเองได้
อำนาจแบบใหม่ที่ฟูโกต์คิดคือการจ้องมองทางสังคม เกิดขึ้นจากสังคมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลใช้วิธีศึกษาโดยโบราณคดีวิทยา อำนาจเป็นตัวการของกรอบความคิดทั้งหมดหลายอย่างที่เราเชื่อ เป็นเพราะสังคมเป็นตัวกำหนด
เป็นตัวบังคับที่แต่ละคนตระหนักได้จากการรับรู้ของเรา
การรับรู้ของเรานั้นเป็นผลของอำนาจ อำนาจไม่ใช่แค่ควบคุมหรือล้มล้างความรู้แต่ยังช่วยให้สร้างความรู้แบบใหม่ขึ้น
และความรู้นั้นเป็นสองสิ่งที่ไปด้วยกันได้
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรากำลังถูกอำนาจในการบงการเราอยู่แต่เรารู้แค่ว่าเราต้องทำแบบไหนให้เดินไปทางโครงสร้างทางสังคมที่ถูกวางไว้
สรุป อาชญากรรมและการลงทัณฑ์
แนวคิดใหม่คือการคุมขังแทนการลงทัณฑ์ทรมานไม่ใช่เพื่อลงโทษให้น้อยลง แต่เพื่อลงโทษให้ได้ดีขึ้น
ตัวอาชญากรถูกลงโทษมากกว่าการมองสภาพแวดล้อมของตัวปัจจัยที่ทำให้ก่อให้เกิดอาชญากรรม
ผู้ที่ตัดสินลงโทษไม่ใช่ผู้พิพากษาแต่เป็นผู้ที่ตัดสินในว่าตีความคำพิพากษาให้มีผลเชิงปฎิบัติอย่างไร
จุดมุ่งหมายในการลงโทษสาสมกับผลที่ทำแต่ทำเพื่อปฎิรูปและฟื้นฟูความเป็นพลเมืองดีของอาชญากร
คือการทำให้อาชญากรมีจิตสำนึกและไม่ทำความผิดซ้ำอีก
การลงทัณฑ์ต่อร่างกายเปลี่ยนไปความควบคุมทางจิตใจแทนการลงโทษแบบสมัยเก่าที่จู่โจมร่างกายอย่างรุนแรงเพื่อเป็นการชดใช้ด้วยความเจ็บปวดให้สาสมก็พอใจแล้ว
แต่การสงทัณฑ์สมัยใหม่คือการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเพื่อให้เดินทางสู่สายใหม่ จิตวิญญาณของยุคสมัยใหม่คือการควบคุมจิตใจ
โดยการเปลี่ยนทัศนะแนวโน้มทางพฤติกรรมทางจิตวิทยาเพื่อควบคุมร่างกาย
เหมือนที่ฟูโกต์กล่าวไว้ว่า “วิญญาณคือคุกที่คุมขังร่างกาย”
(134)
วินัยและการลงทัณฑ์เป็นการสร้างวินัยที่ใช่อาชญากรกลายเป็นตัวแบบของพื้นที่
ที่ควบคุมอื่น ๆ แนวสมัยใหม่
คือสร้างร่างกายให้เชื่อง
คือร่างการี่ไม่เพียงทำสิ่งที่เราต้องการแต่ยังทำด้วยวิธีการที่เราต้องการให้ทำด้วย ร่างกายที่เชื่องสร้างได้ 3 แบบ
หนึ่งการสังเกตอย่างมีชั้นเชิง การจับตามองอยู่ตลอดเวลา คือ
สร้างสถาปัตยกรรมที่คนมองเห็นอยู่ตลอดเวลา
เป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบอำนาจในอุดมคติสมัยใหม่ คือ
แพนออปติคอนซึ่งควบคุมนักโทษได้มากที่สุดโดยการใช้คนคุมน้อยที่สุด
นักโทษชังเดี่ยวที่ออกแบบห้องขังด้วยกระจกไม่มีการรู้ตัวว่าคนคุมจะมองมาเมื่อไหร่
แต่นักโทษจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตนถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ผู้ต้องขังมีภาวะจิตสำนึกเวลาจะทำอำนาจด้วยตัวมันเองโดยอัตโนมันติ
วินัยในยุคสมัยใหม่ประการที่สอง
คือ การให้ความสำคัญกับการตัดสินใจตามเกณฑ์มาตรฐาน
เป็นการกระทำตามลำดับเพื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น มักจัดลำดับอยู่ตลอดเวลา และ
เกณฑ์การเปรียบเทียบการจัดลำดับจึงมีเกณฑ์ว่าพฤติกรรมประเภทไหนที่ปกติ ทำให้พฤติกรรมต่าง ๆ
อยู่ในที่สังคมยอมรับได้
ความกลัวว่าตนจะผิดปกติเป็นการกำหนดให้เราเดินทุกฝีก้าวอยู่ในกรอบของสังคม
ประการสุดท้าย
คือ การสอบ เป็นการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานนั้น
คืออำนาจการสถาปนาที่ทำให้พวกที่ถูกสอบอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
การถูกสอบจะบันทึกผลไว้ในเอกสารข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เข้าสอบ และทำให้อำนาจเข้าควบคุม
บันทึกพวกนี้ทำให้ผู้มีอำนาจสามารถจำแนกปัจเจกบุคคลเป็นประเภทค่าเฉลี่ย ยุคใหม่มีอำนาจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
แต่อำนาจเราสัมผัสได้ว่ามี จึงไม่กล้าทำความผิด
ฟูโกต์พยายามทำให้กลุ่มของพวกชายขอบที่คนมองว่าเป็นพวกเดียวกับคนบ้าที่คนในสังคมมองว่าไม่ปกตินั้น
ให้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น
ฟูโกต์พยายามเข้าร่วมการเมืองเพื่อทำให้กลุ่มของชายขอบมีสิทธิเท่าเทียมกับคนในสังคมที่ถูกปิดกั้น
ฟูโกต์ทำให้คนพวกนี้ได้พูดและฟังในสิ่งที่สมควรจะได้รับรู้
สรุปรวม
สังคมเป็นตัวกำหนดการกระทำต่าง
ๆ ของมนุษย์ อำนาจใหม่ที่ มิแช็ล ฟูโกต์
เสนอคือ อำนาจการจ้องมอง อำนาจที่ทุกคนมองไม่เห็น
เป็นอำนาจที่อยู่ในที่แจ้ง ผู้ที่ถูกมองเห็นได้มากที่สุดนั้นคือบุคคล อำนาจที่ทำให้ทุกคนอยู่ในกรอบโดยการใช้จิตใต้สำนึกของคนเป็นตัวกำหนดถูกปลูกฝังโดยสังคมเป็นตัวกำหนด
การสร้างสถาปัตยกรรมแบบเปิดเผยที่ทำให้คนอื่นมองเห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น สถานที่ทำงานที่เปิดเป็นแบบกระจกเปิดเผย ทำให้คนมองเห็นอยู่ตลอดเวลา คนก็จะทำตัวแบบที่สังคมกำหนดพฤติกรรมคือ
ทำตัวไม่แปลกแยกไปจากคนอื่น ๆ เดินตามกรอบตามสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาให้ทำตามในแบบที่สังคมส่วนใหญ่ที่กำหนดไว้
งานในประวัติศาสตร์เรื่องคุก
วินัยและการลงทัณฑ์เป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับวงศาวิทยามากกว่าโบราณคดี
คือ
เอาวงศาวิทยาวางไว้บนโบราณคดีของความคิดเกี่ยวกับคุก จุดยืนของวงศาวิทยาก็คือ
ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน ความหมายของวงศาวิทยา
ความหมายแรก วัตถุของการศึกษาของประวัติศาสตร์ คือต้นกำเนิดของกฎ การปฏิบัติ
หรือ สถาบันที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันและอ้างว่ามีอำนาจเหนือเรา
ความหมายที่สองเจตนาหลักของวงศาวิทยามิใช่การเข้าใจอดีต หรือ
ศึกษาเพื่ออดีต แต่เป็นเพื่อเข้าใจปัจจุบัน
โดยเฉพาะเพื่อทำลายความชอบธรรมของอำนาจที่ไม่อาจอธิบายตัวเองได้ โบราณคดีวิทยาจะเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการบรรยายระบบความคิดที่อยู่เบื้องหลังการกระทำ
ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือไม่ใช่ภาษาแต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการผลของการกระทำ เพราะโบราณคดีวิยาวิเคราะห์โครงสร้างไม่ใช่วิเคราะห์ต้นเหตุและผล
วงศาวิทยาที่ฟูโกต์เสนอที่ว่าความรู้มีสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งกับอำนาจ
ข้อเสนอนี้ทำให้มองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของความคิดไม่ได้เกิดจากความคิดของมันเอง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความคิด
ต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงคือพลังทางสังคมทั้งหลายที่ควบคุมพฤติกรรมปัจเจกบุคคล
การศึกษาความรู้ด้วยวิธีโบราณคดีทำให้เห็นอำนาจเป็นตัวการที่ทำให้มีกรอบความคิดพื้นฐานซึ่งนั้นก็คือ
รูปแบบวาทกรรมที่เป็นพื้นฐานของความรู้ของเราเปลี่ยน
ฟูโกต์ยังเสนอว่าอำนาจมีบทบาทในแง่กรอบกรอบกำกับความคิดเชิงบวก คือ
อำนาจไม่ใช่แค่ควบคุมหรือล้มล้างความรู้แต่ยังสร้างความรู้ด้วย
วินัยและการลงทัณฑ์ทำให้เห็นได้ว่า เทคนิคของการลงทัณฑ์สมัยใหม่ คือ
การคุมขังแทนการลงทัณฑ์โดยทำทางร่างกายแบบวิธีเก่า โดยใช้การจำแนก 4
แบบการคุมขังเป็นการจัดวางผู้กระทำผิดในฐานะของประเภทใหม่
ที่ใช้มโนทัศน์ที่ว่าด้วยลักษณะของอาชญากรการใช้อำนาจแบบต่าง ๆ
และปฏิบัติเชิงยุทธวิธี
โดยการขังเดี่ยวและการทำงานเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของนักโทษ เปลี่ยนแปลกนักโทษโดยทางจิตใจ ให้เดินในทางที่อยากให้เป็นไป การลงทัณฑ์แบบสมัยเก่า คือ การลงโทษโดยการทำให้ร่างกายเจ็บปวดให้สาสมกับสิ่งที่ทำ
แต่การลงโทษสมัยใหม่ซึ่งมีผลมากกว่าการลงโทษสมัยเก่า คือ
การควบคุมทางจิตใจแทนเปลี่ยนแปลงทัศนะและแนวโน้มของพฤติกรรม เพื่อให้ควบคุมร่างทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณก็เหมือนคุกที่คุมขังในร่างการ สังคมสมัยใหม่จึงเป็นการเลี้ยงคนให้เชื่อง เพื่ออยู่ในกรอบที่วางไว้
ร่างกายที่ถูกทำให้เชื่องสร้างได้ด้วยสามหนทาง คือ
หนึ่งการสังเกตอย่างมีช่วงชั้น คือ
การที่เราสามารถควบคุมตัวคนอื่นได้จากการจับตาดูคนนั้นอยู่ตลอดเวลาเมื่อรู้สึกว่าโดนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
ก็จะทำให้คนที่คิดจะทำผิดนั้นเปลี่ยนพฤติกรรมไป
สอง คือ การให้ความสำคัญกับการตัดสินตามเกณฑ์มาตรฐาน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบทางสังคม
มีการจัดลำดับของสิ่งต่าง ๆ ทุกคนต่างอยากไปให้ถึงในมาตรฐานที่วางไว้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เราสามารถนิยามความไม่ปกติเกิดขึ้นในการเปรียบเทียบพฤติกรรมให้ทำตามที่สังคมยอมรับได้
และ สาม คือ
การสอบเป็นการควบคุมพฤติกรรมต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้น
เราจึงรู้ได้ว่า
ความปกติ และ ไม่ปกติ
ก็เกิดจากการเปรียบเทียบทางสังคมที่เดินตามสายหลักที่ปฏิบัติร่วมกัน แต่ถ้าใครปฏิบัติต่างออกไปจะถูกสังคมเป็นตัวลงทัณฑ์โดยการถูกมองว่าแปลกแยก ฟูโกต์พยายามศึกษาจากฝ่ายที่ถูกสังคมมองว่าไม่ปกติ
เพื่อให้มีสิทธิ์มีเสียงในอำนาจที่มีอยู่ในสังคม ฟูโกต์จึงได้ศึกษาพวกชายขอบที่ถูกสังคมมองว่าต่ำกว่าคนปกติ
พวกชายของต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม เพื่อที่จะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาใหม่
ให้กลุ่มชายขอบมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น
โดยเปิดโอกาสให้คนชายขอบได้พูดได้และได้รับการรับฟัง
การเมืองของฟูโกต์พยายามเปิดพื้นที่ให้กับความผิดพลาด
ปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์กับความเป็นจริงทั้งหลายของสังคมทำให้ชายขอบสามารถเข้าไปอยู่ในสังคมกระแสหลักได้
สังคมเป็นตัวกำหนดภาษา
และ ภาษาเป็นตัวกำหนดคำพูด
เราสามารถเขียนบางคำได้ แต่เราไม่สามารถพูดได้ทุกคำที่เราเขียน จึงมีคำต้องห้ามอยู่ เราสามารถใช้ภาษาต้องห้ามนี้ได้มากน้อยแค่ไหนในการที่จะแสดงออกมาชองภาษา
การเขียนจึงไม่ได้เป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์
แต่การเขียนเป็นการสลายอัตลักษณ์
ทำไม่ให้คนอื่นจับทางได้ว่างานเขียนแสดงตัวตนแบบไหนของผู้เขียนออกมา ทำให้ตัวเองหายไปโดยการใช้ภาษา งานเขียนไม่สามารถเป็นกุญแจของวรรณกรรมมีไว้เพื่อเปิดหรือปิดความหมายที่อยู่ในงาน การศึกษาวรรณกรรมของฟูโกต์ความสนใจเรื่องพื้นที่และภาษาสะท้อนวิถีการคิดที่ต้องถอดอัตภาวะออกจากความเป็นศูนย์กลาง
และหันมาให้ความสำคัญกับระบบในเชิงโครงสร้าง
การเป็นนักเขียนไม่ใช่แค่การมีความสัมพันธ์กับตัวบทบาตรตามสังคมและวัฒนธรรม
ผู้เขียนต้องมีหลากหลายตัวตนเพื่อทำหน้าที่นักเขียน โครงสร้างภาษาเป็นตัวกำหนดคำพูดภาษาทำให้เราไปไกลกว่าอัตลักษณ์
โดยใช้ภาษาเป็นตัวทำงานเขียนให้ก้าวล้ำกรอบไปไกลแค่ไหนของภาษาที่พันธนาการของภาษาให้พ้นจากสิ่งที่รู้
และ ความสามารถที่จะแสดงออกก็คือ
การใช้ภาษาให้ไปไกลได้มากที่สุดจากกรอบสังคมที่วางไว้ เราไม่สามารถพูดคำต้องห้ามได้ แต่เราสามารถเขียนคำต้องห้ามได้ ประสบการณ์ของการไปถึงขีดจำกัดและวรรณกรรมที่ก่อให้เกิดประสบการณ์นั้น
คือกุญแจในการเปลี่ยนแปลงสังคม
สังคมเป็นตัวกำหนดทุกอย่างในการกระทำทั้งความคิด แนวทางการใช้ชีวิต
สังคมเป็นตัวกำหนดด้วยอำนาจสมัยใหม่ที่ทำโดยการจ้องมอง ปลูกทัศนคติตามกรอบที่สังคมต้องการให้เป็น