วรรณกรรมวิจารณ์
ความหมายของวรรณกรรมวิจารณ์มีผู้รู้หลายท่านให้ความหมายไว้ดังนี้
Cassellys
Encyclopedia of Literary (1953: 126) ให้ความหมายว่า “วรรณกรรมวิจารณ์
คือ ศิลปะในการวินิจฉัยวรรณกรรมโดยพิจารณาว่า
เพราะอะไร เพราะเหตุใด
ที่ทำให้วรรณกรรมเรื่องนั้นได้รับการตัดสินว่าดีหรือเลว”
อาบรามส์ (Abrams 1971: 36)
ได้ให้คำจำกัดความว่า
การวิจารณ์วรรณกรรมคือ สาขาหนึ่งของการศึกษาวรรณกรรม โดยการอธิบายจำแนกแยกแยะและการให้รายละเอียดเกี่ยวกับวรรณกรรมตลอดจนการประเมินค่า
เจตนา
นาควัชระ (2514: 11) ให้ความหมายของการวิจารณ์อย่างกว้าง
ๆ ว่า คือการแสดงความเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรม
รัญจวน
อินทรกำแหง (2515: 15) กล่าวว่า การวิจารณ์วรรณกรรมคือ
การอ่านอย่างพิจารณา เพื่อดูข้อเด่นและข้อบกพร่อง
พร้อมกันนำมาบอกกล่าวให้ผู้อ่านได้ทราบข้อเด่นและข้อด้อยเหล่านั้น โดยการเขียนหรือพูดก็ได้
สิทธา พินิจภูวดล (2515: 480) ก็ได้ให้ความหมายที่ไม่ต่างกันนักว่า
การวิจารณ์วรรณกรรมคือ
การตัดสินคุณภาพของข้อเขียนว่าอะไรคือส่วนดีและส่วนเสีย โดยต้องอาศัยความซาบซึ้งเป็นเบื้องต้นและความเข้าใจในทฤษฎีวรรณกรรมเป็นเบื้องปลาย
ธัญญา
สังขพันธานนท์ (2539 :18-19)
ความหมายของคำว่า วรรณกรรมวิจารณ์
เป็นการพิจารณาคุณค่าของหนังสือหรือบทประพันธ์โดยชี้ให้เห็นรายละเอียดต่าง
ๆ เกี่ยวกับงานประพันธ์
เพื่อที่จะประเมินค่า หรือ ชี้ให้เห็นข้อเด่นข้อด้อยว่าเป็นอย่างไร
หรือเพราะเหตุใด
นอกจากนี้แล้วการวิจารณ์ก็มีลักษณะที่เป็นกระบวนการและมีขั้นตอนที่ค่อนข้างแน่นอน มีองค์ประกอบ คือ
1.การวิเคราะห์หารายละเอียดของวรรณกรรมเรื่องนั้น
ๆ เช่น
การวิเคราะห์องค์ประกอบ
การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น
ภาษา รูปแบบการประพันธ์ กลวิธีการแต่งตลอดจนการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ
2.การอธิบายความ หมายถึง
การอธิบายให้ความกระจ่างในสิ่งที่ได้วิเคราะห์
เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้จากตัวบทวรรณกรรมนั้น ๆ เช่น
การอธิบายถึงคุณลักษณะต่าง ๆ โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของการวิจารณ์
3.การตีความจะช่วยให้เกิดความกระจ่างในวรรณกรรมได้มากขึ้น
การตีความนั้นต้องอาศัยการวิเคราะห์และการอธิบายความเป็นเบื้องต้น การตีความช่วยให้เข้าใจเนื้อหาและเจตนาของวรรณกรรมได้ชัดเจนขึ้น
4.การประเมินค่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการวิจารณ์วรรณกรรมและเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะลงความเห็นว่า วรรณกรรมเรื่องนั้นมีความเด่นด้อยอย่างไร การประเมินค่าวรรณกรรมจะต้องมีความเป็นกลางปราศจากอคติ
ซึ่งจะทำได้โดยอาศัยหลักเกณฑ์ในการวิจารณ์เป็นหลักในการวินิจฉัย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่า
การวิจารณ์วรรณกรรมเป็นการประเมินค่าหนังสือที่เป็นขั้นเป็นตอนในการวิจารณ์ ซึ่งมีความละเอียดอ่อนมากในการทำ
เพื่อให้ไขความหมายในบทประพันธ์ที่ผู้ประพันธ์ต้องการจะสื่อ ซึ่งอามีความเข้าใจในเนื้อหานั้นถูกต้องหรือผิดก็เป็นหน้าที่ของผู้วิจารณ์ที่จะมีการไขข้อข้องใจกันต่อ
ๆ ไป
การวิจารณ์วรรณกรรมนั้นเป็นกิจกรรมทางปัญญาของสังคมที่มีวัฒนธรรมในการอ่านและการสร้างวรรณศิลป์
ในประเทศที่มีความมั่นคงทางวิชาการได้พัฒนาการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นเป็นศาสตร์สาขาหนึ่ง
การวิจารณ์วรรณกรรมจึงมีความสำคัญและได้รับการยอมรับอย่างสูงในสังคมที่มีความมั่นคงในวัฒนธรรมทางการอ่านและการวิจารณ์ วรรณคดีวิจารณ์สามารถมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ทางวรรณศิลป์ได้
การที่เราเสริมความคิดเห็นส่งเสริมวรรณศิลป์ได้
การที่เราส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นส่งเสริมวรรณคดีวิจารณ์นั้น เราจะต้องยอมรับสมมุติฐานสองข้อ คือ
1.วรรณกรรมนั้น เมื่อผู้แต่งได้ตัดสินในที่จะให้เผยแพร่แล้ว ก็หาได้เป็นสมบัติของผู้แต่งต่อไปไม่ แต่ได้กลายเป็นสมบัติของผู้อ่านไป
2.ผู้อ่านมีเสรีภาพในการที่จะตีความวรรณกรรม
หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรมที่ตนอ่าน
ในส่วนที่เกี่ยวกับสมมุติฐานข้อแรกนั้นไม่ได้พูดถึงสมบัติทางวรรณศิลป์ในแง่ของกฎหมาย เรื่องของลิขสิทธิ์เป็นเรื่องของการคุ้มครองผลประโยชน์ของงานศิลปะหรืองานประดิษฐ์
เพื่อให้ศิลปินหรือผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ได้รับผลประโยชน์จากงานที่ตนสร้างขึ้นมา โดยป้องกันมิให้ผู้อื่นลอกเลียนแบบเพื่อนำไปหาผลประโยชน์ สรุปได้ว่าเป็นเรื่องของทางโลก ในบางครั้งก็เป็นเรื่องจองผลประโยชน์ทางการเงิน
เรื่องของวรรณกรรมที่แปรสภาพจากสมบัติของผู้แต่งไปเป็นของผู้อ่าน
เป็นเรื่องของการสืบทอดมรดกทาบงวัฒนธรรมซึ่งเป็นปัญหาที่เราจะถกเถียงกันไม่ได้ในแง่ของตัวบทกฎหมาย จะขอขยายต่อไปด้วยตัวอย่างง่าย ๆ
คำพูดที่เราเปล่งออกมาเป็นสิ่งที่หลุดลอยไปจากตัวผู้พูดเรียกคืนกลับมาไม่ได้ แก้ไขไม่ได้
ลบไม่ได้
ผู้ที่เป็นปราชญจึงย่อมจะต้องรับผิดชอบคำพูดของตน วรรณกรรมก็อยู่ในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน
หากว่าการเขียนนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ดีกว่าการพูด เพราะผู้เขียนมีเวลาไตร่ตรองขัดเกลาสิ่งที่ตนต้องการจะแสดงออกด้วยวาทะ เขียนแล้วลบได้ถ้าไม่ถูกใจ เขียนแล้วฉีกทิ้งได้ถ้าไม่พอใจ ถ้าเขียนแล้วยอมนำออกเผยแพร่นั้นจะเป็นไปในรูปใดก็ได้ ในยุคก่อนที่จะมีการพิมพ์หนังสือ ก็อาจจะมีการอ่านสู่กันฟังหรือเล่าสู่กันฟัง
หรือไม่ก็คัดลายมือ ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องคติชาวบ้านและผู้ที่สนใจวรรณคดีโบราณย่อมจะเข้าใจดีว่า
ต้นเรื่องเพียงหนึ่งเรื่องอาจจะแตกเถาเหล่ากอไปได้เป็นสิบเป็นร้อย เล่าต่อกันไปเป็นร้อยเป็นพันปีจนไม่มีใครรู้ว่าต้นเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราจึงจะต้องตั้งคำถามอยู่เสมอว่าวรรณกรรมเป็นสมบัติของใครกันแน่
สำหรับสมมุติฐานข้อที่2
ที่เกี่ยวกับเสรีภาพของผู้อ่านนั้น
เป็นเรื่องของเสรีภาพทางปัญญา
วรรณกรรมเป็นสิ่งที่มากระทบอารมณ์เราทำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ อารมณ์เป็นอารมณ์ของปัจเจกบุคคล วรรณกรรมเรื่องเดียวไปถึงมือผู้อ่านร้อยคนก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติของคนร้อยคนไป
แต่ละคนก็เข้าครอบครองสมบัติทางวรรณศิลป์ชิ้นนี้ด้วยวิธีการของตนเอง ผู้ประพันธ์จะหวงแหงว่าเป็นสิทธิของตนต่อไปอีกไม่ได้
แม้ผู้อ่านบางคนอาจจะตีความไม่ตรงกับที่ผู้แต่งคิดไว้ก็เป็นกติกาอย่างหนึ่งของวรรณศิลป์ว่ามิใช่หน้าที่ของผู้แต่งที่จะต้องเข้าไปแก้ความเข้าใจผิดเหล่านั้น
แต่เป็นหน้าที่ของผู้อ่านและของนักวิจารณ์ที่จะต้องแก้กันเองในวงผู้อ่าน เครื่องมือสื่อสารอันได้แก่ ภาษา เป็นเครื่องมือที่อาจจะไม่สมบูรณ์นัก คำคำเดียวกับที่มาจากภาษาเดียวกันอาจจะสื่อความหมายไปได้หลายนัย
การสื่อสารทางวรรณศิลป์จึงเป็นการสื่อสารที่ได้ความหมายใกล้เคียงเท่านั้น ในระยะหลัง ๆ
นี้มีนักเขียนบางคนกระโดดลงมาตอบโต้กับนักวิจารณ์
ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระทำเพราะวรรณกรรมที่สร้างขึ้นและได้ตีพิมพ์ไปแล้วก็นับได้ว่ากลายเป็นสมบัติของผู้อ่านไปแล้ว
การวิจารณ์วรรณกรรมไทยในอดีตเกิดขึ้นและดำเนินไปพร้อม
ๆ กับการสร้างและการเสพวรรณคดีเช่นเดียวกับการสร้างและเสพวรรณคดีในสังคมต่าง ๆ
ที่มีการสร้างสรรค์วรรณกรรมทั้งในรูปมุขปาฐะและวรรณกรรมลายลักษณ์ ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงวัฒนธรรมในการสร้างและเสพวรรณคดีตามที่ได้กล่าวมาแล้วจึงอาจสรุปให้เห็นถึงลักษณะของการวิจารณ์วรรณกรรมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มดังนี้
การวิจารณ์วรรณกรรมในระดับชาวบ้านมีทั้งวรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะ ผู้สร้างและผู้เสพวรรณกรรมในระดับชาวบ้านมีทั้งในแวดวงของชาวบ้านและชาววัด
อาจกล่าวได้ว่าผู้รับสารในระดับชาวบ้านนั้นมีส่วนในการสร้างสรรค์วรรณกรรมด้วยในกระบวนการสืบทอดวรรณกรรมนั้นอาจมีการดัดแปลงหรือว่าเติมแต่งในส่วนที่ตนเห็นว่ายังไม่ถูกใจ ถือเป็นการวิจารณ์แบบชาวบ้านเพียงแต่ผู้แต่งอาจไม่มีโอกาสรู้เห็นเท่านั้น
ลักษณะการประเมินค่าวรรณกรรมโดยชาวบ้านยังครอบคลุมไปถึงวรรณกรรมลายลักษณ์ด้วยเช่นกัน ความนิยมในการเสพวรรณกรรมของมหาชนนั้นเป็นพฤติกรรมในการประเมินค่าวรรณกรรมได้อย่างหนึ่ง เป็นกระบวนการสื่อสารทางวรรณกรรมที่ครบวงจร
คือจากมุมมองผู้แต่ง ผู้อ่าน และผู้วิจารณ์
การวิจารณ์ในระดับผู้แต่งหรือกวีด้วยกันเอง
หรืออาจเรียกว่าเป็นการวิจารณ์ในลักษณะอัตวิพากษ์ก็ได้
เป็นการแสดงความเห็นต่องานประพันธ์ในลักษณะที่กวีประเมินค่าผลงานของตัวเอง ซึ่งปรากฏในหมู่ผู้แต่งในระดับชาววังหรือในแวดวงราชสำนัก
ยุคเริ่มต้นของการวิจารณ์วรรณกรรมที่เป็นลายลักษณ์อักษร
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเขียนอันเนื่องมาจากการรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการสร้างสรรค์วรรณกรรมในระยะนี้คือการนำรูปแบบของงานเขียนจากตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ ได้แก่
เรื่องสั้น
นวนิยายและบทละครพูด
หรือที่เรียกกันในช่วงเวลานั้นว่าเรื่องอ่านเล่น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเขียนที่เป็นไปอย่างคึกคักนี้เอง
มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นให้มีการแสดงความเห็นเชิงวิจารณ์ต่อวรรณกรรมในรูปแบบใหม่ ในระยะแรก ๆ
นั้นการแสดงความเห็นเชิงวิจารณ์ยังอยู่ในลักษณะของการตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์เล็ก
ๆ น้อย ๆ ต่อวงการประพันธ์ไปมากกว่าตั้งใจให้เป็นบทวิจารณ์ที่แท้จริง แต่เริ่มปรากฏเป็นการวิจารณ์อย่างชัดเจน จนเมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 7
ดังเช่นบทความที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรมประโลมโลก และเรื่องอ่านเล่น โดย ส่ง
เทภาสิต
กับบทวิจารณ์นวนิยายเรื่องละคนแห่งชีวิต
โดยองค์เจ้าจุลจักรพงศ์
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปิดฉากการวิจารณ์วรรณกรรมสมัยใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะและเป็นบทวิจารณ์วรรณกรรมที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
จะเห็นได้ว่าแต่ละยุคของการวิจารณ์วรรณคดีมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย
ๆ เมื่อมีการคิดค้นการศึกษาศาสตร์แห่งวรรณคดีมากขึ้น
ก็จะทำให้พบกับแนวทางในการวิจารณ์วรรณคดีที่หลากหลาย การวิจารณ์วรรณคดีในแต่ละยุคทำให้กรอบแนวคิดในการวิจารณ์ ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะศึกษาและเข้าใจตัวบทได้มากขึ้น
แต่ละยุคแต่ละทฤษฎีมีทั้งความเหมือนและความต่างกัน
แต่ทุกยุคทุกสมัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกันเสมอ ทุกศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณคดีทั้งนั้น เช่น
ศาสตร์ทางด้านสังคมที่มีการนำมาใช้ในการศึกษาวรรณคดี ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่นำมาใช้ในการศึกษาผู้เขียน วรรณคดีทำตัวศาสตร์ต่าง ๆ
นั้นมารวมตัวกันเพื่อใช้ในการวิจารณ์วรรณคดีออกมา เราสามารถนำทฤษฎีต่าง ๆ
มาประยุกต์ใช้ในงานได้
การเลือกทฤษฎีให้เหมาะสมกับตัวบทที่เราใช้ ทฤษฎีต่าง ๆ
มีทั้งการศึกษาทั้งภายนอกและภายในของตัววรรณคดี
การที่เราเลือกนำมาประยุกต์ใช้ทำให้เรามองอย่างเป็นระบบและรอบครอบ
เพราะสามารถศึกษาได้ทั้งภายนอกและภายในทำให้เราสามารถวิเคราะห์วรรณคดีได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อก่อนรับอิทธิพลตะวันตกนั้นรูปแบบที่ใช้คือประเภทร้อยกรอง มีการต่อต้านรูปแบบการเขียนของตะวันตก วรรณกรรมไทยสมัยก่อนรับอิทธิพลตะวันตกนั้นมีการหวนกลับไปใช้เหมือนอย่างอดีตที่ผ่านมา
แต่เมื่อถึงช่วงรับอิทธิพลตะวันตกเข้ามาวรรณกรรมไทยก็เปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนการวิจารณ์ยังไม่เป็นรูปธรรมยังไม่เป็นกรอบทางการที่นำมาใช้ในการวิจารณ์ เมื่อถึงช่วงตะวันตกวรรณกรรมไทยเกิดความคึกคักขึ้นอีกครั้ง
มีนักวิจารณ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและยังมีกรอบมีแนวทางในการวิจารณ์ที่เป็นสากลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมก็เปลี่ยนไป
นักเขียนมีความคิดที่หลากหลายในการเขียนหนังสือที่ซับซ้อนมากขึ้น การวิจารณ์จึงไม่มีความตายตัว แนวคิดต่าง ๆ ที่นักวิจารณ์นำเข้ามานั้นก็คือ
กรอบแนวคิดในการใช้วิจารณ์วรรณกรรมเท่านั้น
ทำให้เกิดแนวคิดที่หลากหลายที่หมุนไปตามสังคมที่ไม่มีความหยุดนิ่ง
ทำให้ได้เห็นทฤษฎีในการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นก้าวหน้าไปเสมอ
การวิจารณ์วรรณกรรมนั้นสำคัญเพราะเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ต้องการให้นำมาศึกษาให้ได้มากที่สุด
เพราะการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นทำให้ได้เห็นความคิดที่แปลกแยกแตกต่างจากความคิดเดิม
ๆ ที่คนส่วนใหญ่คิดกัน เรื่องเดียวกันนั้นอาจจะตีความกันไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน ทำให้การวิจารณ์เป็นการที่เราได้มองวรรณกรรมอีกมุมหนึ่งได้รับภาพใหม่
มุมใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเราอาจจะมองข้ามไปได้
หรือสิ่งนั้นอาจจะเป็นมุมที่คุณไม่เคยได้มองมันเลยก็ได้ ในเมื่อคนเรานั้นต่างมองมุมที่ไม่เหมือนกัน
เราก็ควรจะมาวิจารณ์เพื่อเป็นศิลปะในทางความคิด เป็นอิสระจากความคิดมากขึ้น โดยไม่มีคำว่าถูกหรือผิด
ดิฉันคิดว่าการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการที่จะทำให้ตัวบทสำคัญมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นการรวมกันหลาย ๆ
ความคิดเพื่อใช้ในการวิจารณ์ในงานแต่ละครั้ง
และงานวิจารณ์มักมีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิมเสมอ
อ้างอิง
เจตนา นาควัชระ.2521.ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งวรรณคดี.กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์ดวงกลม จำกัด
ธัญญา สังขพันธานนท์.2539.วรรณกรรมวิจารณ์.กรุงเพทฯ
: นาคร