ตีความ
เรื่องย่อบทกวี ภรรยากำลังบ่นสามีเรื่องที่ไม่ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเหมือนดั่งชาวบ้านแถวนั้น
ที่มีไฟฟ้าใช้ มีทีวีดู มีพัดลมใช้ มีน้ำประปาให้อาบ
ไม่เหมือนบ้านของตนที่ใช้แบบเดิมทุกอย่าง ทั้งตะเกียง ทั้งหาบน้ำมาใช้ ทั้ง ๆ ที่สามีเป็นนักกวีเป็นปราชญ์ แต่ทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อความสะดวกสบาย
ทำไมต้องแปลกแยกกับคนอื่น
ซึ่งหากมองในมุมของภรรยา
เราจะเห็นว่า ทำไมสามีถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ
ที่โลกนั้นได้พัฒนาไปไหนต่อไหนแล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายตั้งเยอะ
ทำไมถึงต้องมาลำบากต่อไปอีก
หากมองในมุมของสามี
เราจะเห็นว่า เหตุผลที่เขาไม่ยอมเปลี่ยนไม่ใช่เขาไม่ตามโลก ไม่ทันสมัย
แต่เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นสิ่งที่ทำลายเราโดยทางอ้อม
เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองโดยมิใช่เหตุ ทั้งการใช้ไฟฟ้า การใช้พัดลม
การใช้เครื่องปลั๊มน้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำรายธรรมชาติ ทำลายสภาพแวดล้อม ถึงแม้ว่ามันคือ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็ตาม แต่สิ่งที่ได้มาไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป
สำหรับ
ฉันคิดว่าการที่เรามีไฟฟ้าใช้ในยุคนี้สมัยนี้ มันกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นไปแล้ว
เราคงนึกไม่ออกว่าสมัยก่อนเขาไม่มีไฟฟ้าใช้เขาอยู่กันอย่างไร ไม่มีน้ำประปาใช้เขาจะเอาน้ำที่ไหนมาอาบ มากิน หากลองมองย้อนกลับไปในสมัยของทวด ปู่ ย่า ตา ยาย
พวกท่านดำเนินชีวิตอยู่ก่อนที่ไฟฟ้าจะมี พวกท่านกลับอยู่กันได้อย่างสุขสบาย มีความสุข ไม่ต้องกลัวไฟดับเวลาฝนตก เพราะมีตะเกียง ไม่ต้องกลัวไม่มีน้ำประปาใช้ ไม่ต้องกลัวท้อประปาแตกจนไม่มีน้ำใช้ เพราะใช้น้ำจากการตักจากแม่น้ำลำคลอง หรือรองน้ำฝนเอาไว้ใช้ในช่วงหน้าฝน ไม่ต้องเสียค่าน้ำสักบาท ไม่ต้องกลัวยุงกัดเวลานอน เพราะนอนกางมุ้ง มีลมพัดเย็นสบาย
ไม่ต้องใช้พัดลมเพราะพื้นที่โดยรอบมีแต่ต้นไม้ ตอนนอนลมก็พัด ตอนเช้าต้นไม้ก็บังแดดไม่ต้องกลัวร้อน
หากย้อนกลับมาสมัยนี้
เราต่างหากที่ต้องอิจฉาคนสมัยก่อน เพราะเขาไม่ต้องมาเดือดร้อนแบบเราในแต่ละเดือน
ที่ต้องหาเงินมาเสียค่าใช้จ่ายทั้งไฟฟ้า ทั้งประปา ไหนจะต้องซื้อสินค้าเพื่ออำนวยสะดวกให้กับตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เงินในแต่ละเดือนที่หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายออกไปมากเช่นกัน