เรื่องย่อมีอยู่ว่า
ครอบครัวหนึ่งกำลังจะส่งลูกไปเรียนที่ห่างไกลจากบ้านมาก เช้าวันนั้นแม่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหาร ส่วนพ่อก็ได้แต่นอนคิดเรื่องของลูกที่ต้องจากไปในที่ไกล ๆ
เมื่อนั่งกินข้าวกันบรรยากาศในวงอาหารก็มีความเศร้าปนความสุข สุขกับการที่ลูกได้ไปใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ลูกเลือก
และทุกข์กับการที่ลูกต้องจากคนที่บ้านไปไกลแสนไกล
เมื่อลูกคนแรกได้ออกเดินทางจากไปสู่ทางของตนเอง ลูกคนสุดท้องได้บอกกับพ่อและแม่ว่า ขอใช้ชีวิตอยู่กับบ้านของเราได้ไหม
อยู่ทำนาเหมือนคนรุ่นก่อนที่เคยอยู่กันมา ไม่อยากไปเรียนที่ไกล
ๆ เหมือนกับพี่ พ่อกับแม่ยิ้มรับกับคำพูดของลูกคนเล็ก
แล้วจึงบอกลูกว่า รอถึงวันนั้นก่อนเถอะ แล้วลูกจะรู้ทางของลูก
บทนี้ทำเอาซึ่งอีกแล้ว คุณเคยจำได้ไหม ตอนเด็ก ๆ
คุณเคยบอกกับพ่อกับแม่ว่าอย่างไรบ้าง เช่น
เวลามีญาติผู้ใหญ่แซวว่าโฮ โตเป็นสาว/หนุ่มแล้วมีแฟนหรือยังเนี้ย (ทั้งๆที่ความจริงอาจจะแค่ 4-5 ขวบ) เราก็จะตอบไปทันทีว่า หนูจะไม่มีแฟนหรอก หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่ไปจนแก่เลย ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ฟังคำตอบนี้
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป จนมาถึงวันที่คุณโตขึ้นสู่อีกก้าวหนึ่งของชีวิต เมื่อคุณรู้และเข้าใจโลกมากขึ้น ความคิดความอ่านก็จะเริ่มเปลี่ยนไป
จากเมื่อก่อนไม่เคยคิดที่จะไปไหนไกลหูไกลตาจากพ่อแม่ คุณก็เริ่มที่จะอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากไปเผชิญโลกในแบบที่ตัวเองต้องการ
อยากรู้อยากลอง
และก็เริ่มห่างไกลออกไปจากพ่อแม่มากขึ้นทุกที
ในขณะที่คุณกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่คุณอยากรู้อยากลอง
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีคนที่รักคุณคอยส่งกำลังใจให้เสมอ คอยคิดเสมอว่า ป่านนี้คุณจะทำอะไรอยู่นะ กินข้าวหรือยัง สบายดีหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เงินจะพอใช้ไหม เขาคนนั้นคอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลาในระยะทางที่ห่างไกล แต่สิ่งที่ใกล้คุณเสมอก็คือหัวใจ หัวใจที่ยังรักและผูกพันกับคุณเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย
ตอนเป็นเด็กมีใครเคยคิดแบบฉันบ้างไหมนะ เวลาที่พ่อแม่ส่งให้ไปเรียนเมื่อสมัยอยู่อนุบาล เคยคิดน้อยใจพ่อแม่ว่า พ่อแม่ไม่รักเราแล้ว ถึงอยากให้เราไปไกล
ๆ ไม่อยากให้อยู่บ้าน ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมไปเรียน แต่เมื่อเราอยู่ชั้นประถมเราก็เริ่มเข้าใจพ่อแม่มากขึ้นว่า
อ๋อ ที่เขาส่งเราไปเรียนหนังสือ เพื่อให้มีความรู้เพิ่มเติม อยากให้เราเก่ง
อยากให้เราฉลาด ถึงได้ส่งเราไปเรียน เพราะท่านรักเรา อยากให้เราโตมาเป็นคนที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องลำบากเหมือนที่ท่านเคยผ่านมา เรามาเข้าใจท่านในวันที่เราโตขึ้น
แต่ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้
เกี่ยวกับพ่อแม่ก็คือ เมื่อเราไปโรงเรียนในก้าวแรกของชีวิต พ่อแม่ที่มาส่งที่โรงเรียนทุกวัน ที่เราเห็นท่านมาส่งเราถึงมือคุณครูแล้วท่านก็เดินจากไปโดยไม่หันมามองเสียงของเราที่ร้องเรียกท่าน ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ไม่สนใจเสียงร้องไห้ของเรา แต่ที่ท่านไม่หันมามองนั้น เพราะกลัวจะใจอ่อนพาเรากลับบ้านมากกว่า
และในทุก ๆ วันที่ท่านมาส่งเราไม่รู้เลยว่า ท่ามาส่งเราแล้วกลับบ้านหรือไปทำงานทันที หรือท่านกำลังทำอะไรหลังจากนั้น เพราะในความจริงแล้วพ่อแม่หลายคนมักจะคอยแอบดูเราอยู่ที่ไหนสักทีในโรงเรียนโดยไม่ให้เรารู้ตัว
ท่านคอยมองอยู่ตลอดว่า เอ๋ เราจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเข้ากับเพื่อนได้ไหม ครูจะดุไหม
จะโดนเพื่อนแกล้งหรือเปล่า ท่านดูจนท่านแน่ใจแล้วว่าเราสามารถอยู่กับครูได้แล้ว
ท่านถึงจะได้เดินทางไปทำภารกิจประจำวันของท่านต่อ ท่านไม่ได้อยากจะให้เราไปไหนไกลจากท่านสักนาทีเดียว แต่ทุกสิ่งที่ท่านทำในวันนั้น ก็เพื่อให้เราได้มีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองเหมื่อนดั่งในวันนี้