วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

ตีความ ชื่อบทกวี “จาก” ในกวีนิพนธ์ “ครอบครัวดวงตะวัน” โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ




     เรื่องย่อมีอยู่ว่า  ครอบครัวหนึ่งกำลังจะส่งลูกไปเรียนที่ห่างไกลจากบ้านมาก เช้าวันนั้นแม่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำอาหาร  ส่วนพ่อก็ได้แต่นอนคิดเรื่องของลูกที่ต้องจากไปในที่ไกล ๆ เมื่อนั่งกินข้าวกันบรรยากาศในวงอาหารก็มีความเศร้าปนความสุข  สุขกับการที่ลูกได้ไปใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ลูกเลือก  และทุกข์กับการที่ลูกต้องจากคนที่บ้านไปไกลแสนไกล 
                
    เมื่อลูกคนแรกได้ออกเดินทางจากไปสู่ทางของตนเอง  ลูกคนสุดท้องได้บอกกับพ่อและแม่ว่า  ขอใช้ชีวิตอยู่กับบ้านของเราได้ไหม อยู่ทำนาเหมือนคนรุ่นก่อนที่เคยอยู่กันมา ไม่อยากไปเรียนที่ไกล ๆ เหมือนกับพี่ พ่อกับแม่ยิ้มรับกับคำพูดของลูกคนเล็ก แล้วจึงบอกลูกว่า รอถึงวันนั้นก่อนเถอะ แล้วลูกจะรู้ทางของลูก
             
    บทนี้ทำเอาซึ่งอีกแล้ว  คุณเคยจำได้ไหม ตอนเด็ก ๆ คุณเคยบอกกับพ่อกับแม่ว่าอย่างไรบ้าง  เช่น เวลามีญาติผู้ใหญ่แซวว่าโฮ โตเป็นสาว/หนุ่มแล้วมีแฟนหรือยังเนี้ย  (ทั้งๆที่ความจริงอาจจะแค่ 4-5 ขวบ)  เราก็จะตอบไปทันทีว่า   หนูจะไม่มีแฟนหรอก  หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่ไปจนแก่เลย ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ฟังคำตอบนี้
               
     แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป  จนมาถึงวันที่คุณโตขึ้นสู่อีกก้าวหนึ่งของชีวิต   เมื่อคุณรู้และเข้าใจโลกมากขึ้น  ความคิดความอ่านก็จะเริ่มเปลี่ยนไป   จากเมื่อก่อนไม่เคยคิดที่จะไปไหนไกลหูไกลตาจากพ่อแม่  คุณก็เริ่มที่จะอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง  อยากไปเผชิญโลกในแบบที่ตัวเองต้องการ อยากรู้อยากลอง  และก็เริ่มห่างไกลออกไปจากพ่อแม่มากขึ้นทุกที  
            
    ในขณะที่คุณกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่คุณอยากรู้อยากลอง  ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีคนที่รักคุณคอยส่งกำลังใจให้เสมอ  คอยคิดเสมอว่า ป่านนี้คุณจะทำอะไรอยู่นะ  กินข้าวหรือยัง สบายดีหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เงินจะพอใช้ไหม เขาคนนั้นคอยเป็นห่วงคุณตลอดเวลาในระยะทางที่ห่างไกล  แต่สิ่งที่ใกล้คุณเสมอก็คือหัวใจ   หัวใจที่ยังรักและผูกพันกับคุณเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย
                
    ตอนเป็นเด็กมีใครเคยคิดแบบฉันบ้างไหมนะ  เวลาที่พ่อแม่ส่งให้ไปเรียนเมื่อสมัยอยู่อนุบาล  เคยคิดน้อยใจพ่อแม่ว่า พ่อแม่ไม่รักเราแล้ว ถึงอยากให้เราไปไกล ๆ ไม่อยากให้อยู่บ้าน  ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมไปเรียน   แต่เมื่อเราอยู่ชั้นประถมเราก็เริ่มเข้าใจพ่อแม่มากขึ้นว่า อ๋อ ที่เขาส่งเราไปเรียนหนังสือ เพื่อให้มีความรู้เพิ่มเติม อยากให้เราเก่ง อยากให้เราฉลาด  ถึงได้ส่งเราไปเรียน  เพราะท่านรักเรา   อยากให้เราโตมาเป็นคนที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้  ไม่ต้องลำบากเหมือนที่ท่านเคยผ่านมา  เรามาเข้าใจท่านในวันที่เราโตขึ้น
                
    แต่ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ เกี่ยวกับพ่อแม่ก็คือ  เมื่อเราไปโรงเรียนในก้าวแรกของชีวิต พ่อแม่ที่มาส่งที่โรงเรียนทุกวัน ที่เราเห็นท่านมาส่งเราถึงมือคุณครูแล้วท่านก็เดินจากไปโดยไม่หันมามองเสียงของเราที่ร้องเรียกท่าน ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ไม่สนใจเสียงร้องไห้ของเรา  แต่ที่ท่านไม่หันมามองนั้น เพราะกลัวจะใจอ่อนพาเรากลับบ้านมากกว่า 

    และในทุก ๆ วันที่ท่านมาส่งเราไม่รู้เลยว่า ท่ามาส่งเราแล้วกลับบ้านหรือไปทำงานทันที หรือท่านกำลังทำอะไรหลังจากนั้น เพราะในความจริงแล้วพ่อแม่หลายคนมักจะคอยแอบดูเราอยู่ที่ไหนสักทีในโรงเรียนโดยไม่ให้เรารู้ตัว

    ท่านคอยมองอยู่ตลอดว่า เอ๋ เราจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเข้ากับเพื่อนได้ไหม  ครูจะดุไหม  จะโดนเพื่อนแกล้งหรือเปล่า  ท่านดูจนท่านแน่ใจแล้วว่าเราสามารถอยู่กับครูได้แล้ว ท่านถึงจะได้เดินทางไปทำภารกิจประจำวันของท่านต่อ  ท่านไม่ได้อยากจะให้เราไปไหนไกลจากท่านสักนาทีเดียว  แต่ทุกสิ่งที่ท่านทำในวันนั้น ก็เพื่อให้เราได้มีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองเหมื่อนดั่งในวันนี้