วิเคราะห์หนังสือเรื่องหนุ่มหน่ายคัมภีร์
ของสุจิตต์ วงษ์เทศ
หนุ่มหน่ายคัมภีร์
พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2512 ในเนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นความไม่พอใจต่อระบบอาวุโสหรือซีเนียริตี้ในมหาวิทยาลัย
ผ่านกิจกรรมก็คือการรับน้อง ได้รับอิทธิมาจากต่างประเทศ
โดยกลุ่มคนที่นำเอาการรับน้องนี้เข้ามาคือกลุ่มอาจารย์และนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ
ซึ่งไม่ได้นำความรู้กลับมาเพียงอย่างเดียวแต่ยังเอาวัฒนธรรมบางส่วนกลับมาด้วย
ทั้งนี้ระบบอาวุโสหรือซีเนียริตี้ก็สอดคล้องพอดีกับค่านิยมของสังคมไทย
เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า
ทองปนพยายามจะต่อสู้กับอำนาจอาวุโสที่มีมานาน
ทองปนพยายามที่จะตอบโต้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ให้ผู้คนตะหนักว่าอะไรถูกอะไรผิด
รู้จักมีเหตุมีผลให้มากกว่านี้ไม่ใช่ว่าอ้างว่าตัวเองมีอำนาจโดยใช้ระบบอาวุโสเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่แค่กำหนดว่าเรามีอำนาจเพราะเราเกิดก่อน
มาก่อน อยู่ก่อน เราย่อมรู้มากกว่าพวกคุณที่มาที่หลัง ซึ่งมันไม่จริงเลย
ความรู้ของคนไม่ได้อยู่ที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า
ไม่ได้อยู่ที่เรามาก่อนแล้วเก่งกว่ารู้มากกว่า ซึ่งจริงๆแล้ว ควรมองกันที่ความคิด มองกันที่การกระทำ มองกันที่ความสามารถ มองโดยใช้หลักเหตุผลมากกว่าระบบอาวุโส
จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าพวกอาจารย์คือคณะเจ้าที่พยายามจะรักษาอำนาจของตัวเองคงไว้ ไม่ยอมรับความคิดใหม่ ๆ คิดว่าตัวเองถูกเสมอ
จะด่าใคร จะว่าใครยังไงก็ได้ ทุกคนต้องฟังตัวเองเท่านั้น
เพราะตัวเองได้ไปศึกษามาได้กว้างไกลกว่าคนที่อยู่แต่ในบ้านในเมืองของตนเองเท่านั้น
พวกรุ่นพี่ก็คือข้าราชการ
คิดว่าตัวเองมีอำนาจที่จะสั่งการอะไรใครก็ได้ เพราะตัวเองอยู่มาก่อน ได้มาศึกษาอยู่ก่อน ใครจะมาต่อต้านไม่ได้ ใครจะมาแปลกแยกหรือไม่ทำตามที่ตัวเองสั่งไม่ได้
คำสั่งของตัวเองเป็นสิทธิ์ขาดเท่านั้นไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรก็ตาม
ทั้งที่ไม่รู้ตัวเลยว่าการปฏิบัติตนแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากขี้ข้าของอเมริกา
และการรับน้องก็มีมานานแล้วใครจะไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ โดยมองแต่ว่าใครๆก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น คนที่ไม่ปฏิบัติตามก็คือคนแปลกแยก
และไม่ต้องการคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรที่มีมานานแล้ว
เพราะกลัวว่าอำนาจที่ตัวเองมีจะเสื่อมลงถ้ารับความคิดใหม่ ๆ เข้ามา
ตัวทองปนและเพื่อน
ๆ พยายามจะตอบโต้ ต่อสู้กับอำนาจอาวุโสเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ให้พวกที่มีอำนาจได้เห็นว่าคนที่เกิดก่อน
คนที่มาก่อน คนที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นนั้น
อาจจะมีสมองไม่มากพอที่จะแยกแยะเหตุผลของความเป็นจริงได้ ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ดีแต่ทำตามกันไป เพราะเคยทำกันมาแบบนี้ ปฏิบัติกันมาแบบนี้ คนรุ่นใหม่ต้องยอมรับสิ่งที่มีมาก่อน
คนรุ่นใหม่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับและสืบทอดทำกันต่อไปเท่านั้น
มัวแต่คิดว่าก็เขาทำมาแบบนี้จะให้เปลี่ยนได้ไง โดยที่ไม่มองว่าสิ่งที่ทำมันไรสาระ ยุคสมัยใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงไป คนสมัยใหม่กำลังจะเข้ามาแทนที่อำนาจเก่า ๆ
ที่เคยมีอยู่ มันเป็นโลกของคนยุคใหม่ แต่แล้วข้อสรุปของเรื่องนี้ คนที่พยายามจะเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย เพราะด้วยเหตุที่ว่ามันมีมานานแล้ว เราไม่สามารถปรับแก้ให้อะไรมันดีขึ้นได้ นอกจากรอให้พวกคนรุ่นเก่าตายไปเท่านั้นเอง