ตีความบทกวี
ชื่อบทกวี
“เมล็ดพันธุ์” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ตีความได้ว่า
จากการอ่านบทกวี ภาพแรกที่เห็นคือ
ลูกมะม่วงสุกลูกใหญ่ลูกหนึ่งนั้นค่อยๆแหว่งไปทีละนิดๆ
เพราะเกิดจากการที่มีคนแบ่งกันกินผลมะม่วงลูกนี้กัน และต่อมาจะเห็นได้ว่ามีการกัดกินมะม่วงจนเหลือแต่เมล็ดเท่านั้น
เมื่อเหลือแต่เมล็ดจึงโยนทิ้งไป และเมล็ดมะม่วงเมล็ดนั้นก็ได้ไปอยู่บนดินที่แห้ง
เมื่อเมล็ดอยู่บนดินเวลาค่อยๆผ่านไปก็เกิดฝนตกขึ้นจากคำที่ว่า “ฝนขุดดินฝังอาบเมล็ดชุ่ม” ทำให้เห็นได้ว่าฝนตกลงมาทำให้ดินที่แห้งนั้นชุ่มชื้น
กลายเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และทำให้เมล็ดที่โยนทิ้งไปนั้นได้มีการเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
โดยไม่มีรู้ตัวว่ามันเริ่มโตขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่มีใครสนใจใส่ใจกับมันเลย
ว่าเมล็ดมะม่วงที่โยนทิ้งไปนั้นกำลังเริ่มมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลา
และภาพต่อมาที่เห็นในบทก็คือมีมะม่วงต้นใหญ่เกิดขึ้นตรงกลางที่ระหว่างครอบครอบสองครอบครัว
ครอบครัวสองครอบครัวนี้มีความสนิทกัน ดูได้จากข้อความนี้ “ลูกเต้าลองครอบครัวปรองดอง” และภาพต่อมาที่เห็นก็คือ ลูกของครอบครัวสองครอบครัวนั้นเกิดการทะเลาะกัน
เพราะแย่งผลมะม่วงกัน
คนในครอบครัวจึงสอนลูกว่าให้รู้จักแบ่งปัน
แบ่งกันกินอย่าทะเลาะกันด้วยแค่เรื่องมะม่วงลูกเดียวเห็นได้จากข้อความนี้ “อย่าถึงต้องช่วงชิงกันบ้าระห่ำ ผลัดกันกัดทีละคำเถอะลูกเอย” และต่อมาจะเห็นได้ว่าประโยคที่บอกว่า “เพื่อเมล็ดพันธุ์จะได้งอกเงยงดงาม”
อันนี้มีการแฝงความหมายในไว้ด้วย
ไม่ใช่หมายถึงแค่เมล็ดพันธุ์ของมะม่วงจะงอกงาทอย่างเดียว
แต่ยังหมายถึงความปรองดองของสองครอบครัวนี้จะได้เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
และยังสอนลูกไม่ให้เห็นแกตัวด้วยข้อความที่ว่า “อย่าเหมือนลูกไม้ในสวนแห่งความเห็นแก่ตัว ที่เขากั้นรั้วด้วยขวากหนามและเรียวหนาม”
จากบทกวีบทนี้จะเห็นได้ว่า
ครอบครัวสองครอบครัวนี้เป็นมิตรกันและสอนให้ลูกนั้นรู้จักการแบ่งปันกัน อย่าเห็นแกตัวอย่าเอาแต่ได้ เพราะเมื่อก่อนที่จะเป็นต้นมะม่วงใหญ่นี้ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
แต่เมื่อมีต้นมะม่วงนี้เกิดขึ้นมาแล้วเราก็ควรที่จะแบ่งปันกัน
อย่าให้ความเห็นแก่ตัวของแต่ละคนนั้นมาทำลายมิตรภาพที่ดี
ความสุขของกันและกันที่เคยมีมา และเราควรมีน้ำใจต่อกันและกัน