วิเคราะห์เรื่อง
ฉากและชีวิต ของ วัฒน์ วรรลยางกูร
ฉากและชีวิตทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคมและวิถีชีวิตของคนในชุมชนในเรื่อง
ทั้ง ๆ ที่อยู่ในกลางแต่สภาพแวดล้อมเหมือนกับต่างจังหวัดทั่วไป เมื่อสังคมแบบเมืองหลวงเริ่มเข้ามาในพื้นที่นี้ก็ทำให้ทุกอย่างในชุมชนนี้เริ่มเปลี่ยนไป
ในเรื่องนี้ความเป็นกรุงเทพฯ
ได้เริ่มเข้ามาตั้งแต่ลุงหม่อมได้มาปลูกบ้านในที่ชุมชนนี้
วิธีชีวิตของลุงหม่อมไม่เหมือนคนในถิ่นนี้ ทั้งการประมง การเกษตร และยังมีอีกหลาย
ๆ อย่างที่ไม่เหมือนชาวบ้านแถวนั้น เมื่อชาวบ้านเห็นว่าการทำไร่ทำนา
เพราะปลูกผลไม้ พืชพันธุ์ต่าง ๆ
และการเลี้ยงปลาของลุงหม่อมได้ผลดีมากกว่าที่พวกตนเคยทำ
ก็ได้พากันมาศึกษาเรียนรู้เพื่อนำกลับไปใช้ในพื้นที่ของตนเอง
ลุงหม่อมได้กระจายอำนาจของเมืองหลวงแพร่ออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
ชีวิตของตัวละครในเรื่องก็เริ่ม
ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ชีวิตในเมืองหลวงไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่ตัวละครในเรื่อง
และชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่นี้คิดไว้
ตัวละครที่ต้องจากบ้านของตัวเองเพื่อเข้าสู้ชีวิตชาวกรุงนั้นต่างได้รับผลเสียมากกว่าผลดี
เช่นตัวละครในเรื่อง ทั้งน้าน้อย น้าพร และนายท้าย
ที่ทั้งสามนี้มีชะตาที่ย่ำแย่ลงเมื่อได้เข้าไปในเมืองหลวง
ตัวละครที่ได้เดินทางไปกรุงเทพนั้นต่างได้รับแผลบางอย่างกลับมาเสมอ
และสุดท้ายตัวละครที่จากบ้านไปอยู่กรุงเทพนั้นส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่นาน
ทุกคนต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของตัวเองอยู่ดี
ชีวิตของตัวละที่ได้แผลกลับมาจากกรุงเทพนั้นถ้าลองมองจากแนวทางทฤษฎีของมาร์ก
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งแยกชนชั้น
เมื่อกรุงเทพถูกสถาปนาด้วยตัวของมันเองว่า
มันคือเมืองหลวงซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศิวิไลซ์
คนในกรุงเทพจึงมองว่าตัวเองนั้นมีฐานะที่สูงส่งกว่าคนในจังหวัดอื่น จริง ๆ
แล้วมันอาจจะไม่เป็นความจริงเลยก็ได้ เพราะมันเป็นแค่ความหลงตัวเองของกรุงเทพ
แต่ว่าแนวคิดแบบนี้มันกลับไปสร้างภาพความจำชุดหนึ่งที่ได้จากยุคล่าอาณานิคม
จึงเกิดเป็นภาพจำบางอย่างขึ้นมาและภาพจำอันนี้ก็กลับทำให้คนจังหวัดอื่นยอมรับความรู้ชุดนี้ไปโดยที่สุด
เห็นได้จากน้อย ที่ได้เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพและได้ท้องกลับมาอยู่ที่บ้าน
น้อยท้องกับนายทหารในเมืองกรุง
เมื่อน้อยได้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดมันกลับทำให้น้อยดูมีระดับขึ้นมากว่าที่จะมีคนเยาะเย้ย
เพราะว่าลูกในท้องของน้อยนั้นเป็นถึงนายทหาร เป็นชายในเครื่องแบบ
ทำให้เมื่อน้อยกลับมาอยู่ที่เดิมกลับเป็นที่สนใจอยู่เช่นเคย ถึงแม้จะรู้สึกบอบช้ำ
เสียใจกับเรื่องนี้บ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอายว่าเคยผ่านมือผู้ชายมาแล้ว
แถมยังทำให้น้องภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน
ถ้าคนนั้นเกิดเจอชะตากรรมแบบน้อยแต่ว่าพ่อของเด็กคือคนที่ไม่ได้เป็นคนในกรุงเทพและไม่ได้เป็นชายในเครื่องแบบ
ก็คงจะโดนนินทาเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ดูโก้เก๋เหมือนที่น้อยได้เจอ
ผู้ชายก็คงไม่อยากไปมาหาสู้หญิงสาวคนนั้นเหมือนที่ทำกับน้อย
น้าน้อยชอบคนในเครื่องแบบจึงส่งผลให้น้าพรไปทำงานเป็นคนในเครื่องแบบ
สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตัวละครในเรื่องได้รับอิทธิพลจากความเป็นกรุงเทพเข้าไป
เครื่องแบบนี้แสดงถึงความเป็นคนของราชา เป็นสิ่งที่แสดงความเป็นเมืองหลวง
เป็นที่น่ายกย่อง มีเกียรติและภูมิใจ
ซึ่งเป็นค่านิยมแบบคนในกรุงเทพที่ได้มีส่วนครอบครองความคิดของคนในสังคม
ถ้าคนในครอบครัวได้รับราชการหรือว่าคนรักเป็นข้าราชการ
เหมือนเป็นการยกระดับฐานะของครอบครัวตัวเองและตนเองขึ้นไปด้วย
น้าพรชนะใจน้าน้อยด้วยการเป็นคนในเครื่องแบบได้แล้ว
แต่รักของน้าพรกับน้าน้อยก็ไม่สามารถสมหวังได้ เพราะว่าน้าน้อยกับน้าพรเป็นญาติห่าง
ๆ กัน เมืองไทยมีค่านิยมที่ว่าคนที่เป็นสายเลือดเดียวกันห้ามแต่งงานด้วยกัน
เพราะจะทำให้ลูกพิการ สิ่งนี้คือสิ่งที่สังคมได้รับรู้
ซึ่งมันก็เป็นความจริงอยู่ที่ลูกจะพิการแต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ในข้อห้ามนี้ก็คือการที่แต่งงานกับสายเลือดเดียวกันนั้นเหมือนเป็นการทำตัวเปรียบเสมือนเจ้า
เพราะว่าเจ้าของไทยนั้นแต่งงานกับพี่น้องกันเอง
เพื่อเป็นการรักษาเลือดเจ้าไว้ให้เข้มข้น ต้องเป็นเลือดที่บริสุทธิ์
ประชาชนจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ได้
ในเรื่องนี้ยังเห็นการท้าทายอำนาจที่เหนือกว่าตน
มีฉากหนึ่งที่มีการฉุดผู้หญิงลงเรือแล้วโดนพ่อแม่ฝ่ายหญิงไล่ล่า
อันนี้เป็นการแสดงความสามารถของผู้ชายที่ฐานะต่ำกว่า
เพราะนี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงยอมรับต้นก็ต่อเมื่อลูกสาวของตนนั้นได้เสียกับผู้ชายคนนั้นไปแล้ว
เหมือนเป็นการมัดมือชกพ่อแม่ฝ่ายหญิงไปในตัว
ถ้าผู้ชายฉุดสำเร็จก็ได้สมหวัง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อาจจะโดนฆ่าได้
ทฤษฎีของมาร์กเมื่อเอามาใช้ในเรื่องฉากและชีวิต
จะทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นในตัวของมันเองและการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง
ๆ ตามมา ทำให้ตัวละครในเรื่องหลาย ๆ ตัวต้องมามีชะตากรรมที่แย่ลง
เมื่อสังคมในท้องถิ่นตนโดนความเป็นกรุงเทพบุกรุกเข้ามามาขึ้น
จนเปลี่ยนจากสังคมชนบทเริ่มเป็นสังคมเมืองในแบบของกรุงเทพ
ความเป็นเมืองแบบกรุงเทพทำให้ชาวบ้านเจอแต่ปัญหา
นับวันความสุขที่ชาวบ้านเคยมีก็ได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ ในเรื่องจะเห็นว่าเมื่อมีการเข้ามาของทุนนิยมคืออุสาหกรรมเริ่มเข้ามาเปิดในพื้นที่นี้
จากตอนแรกที่น้ำนั้นสามารถใช้เป็นการเดินทางหลักของชาวบ้านก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะน้ำเน่าเหม็นจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุสาหกรรม
เริ่มมีถนนเข้ามาสู่ชุมชน ถนนนั้นก็มีแต่ฝุ่นคุ้งกระจายทำให้เป็นมลพิษทางอากาศ เพราะถนนนี้จึงทำให้เลิกใช้เรือต้องมาใช้รถแทน
คนที่เคยเป็นเรือจ้าง จากตอนแรกที่ตนเคยเป็นเจ้าของเรือ
ถ้าใครไม่มีทุนพอที่จะซื้อรถก็ต้องมาเป็นลูกจ้างเขาในการขับรถบรรทุกแทนและรายได้ก็น้อยลงกว่าสมัยก่อน
คนที่มีมอเตอร์ไซขับได้รับอุบัติเหตุและเสียชีวิตบทถนนเยอะมาก
เรียกได้ว่าสังเวยชีวิตที่ถนนแทบทุกวัน
ต่างกับการใช้คมนาคมสมัยก่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่านี้
เรือล้มสมัยก่อนก็ไม่ทำให้ตายทุกวันได้แบบสมัยใหม่ในเรื่อง
คนในชุมชนนั้นต้องโดนการกดขี่แบบแบ่งแยกชนชั้นแบบใหม่
จากเมื่อก่อนเคยทำไร้ทำสวน หาเลี้ยงชีพไม่อดตาย เป็นเจ้าของสวนมีรายได้
แต่เมื่อทุนนิยมเข้ามาคนเหล่านี้ต้องไปทำงานที่โรงงานแทน เป็นลูกจ้าเขา
ได้แค่ค่าแรงขั้นตำหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
ไม่สามารถมีเงินมากพอที่จะมาสร้างเนื้อสร้างตัวได้
น้ำเสียงของผู้เล่าเรื่องเหมือนเป็นการโหยหาอดีตแต่ก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปได้
และตัวละครทุกตัวก็ดูเหมือนว่าอยากกลับไปอยู่แบบอดีตมากกว่า
น้าน้อยจากที่เคยไปกรุงเทพแต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับมาอยู่ที่ถิ่นเดิม
น้าพรก็เหมือนกันสุดท้ายก็กลับมาตายที่บ้าน
น้านายท้ายจากตอนแรกที่ไปชอบแม่ค้าขายผลไม้ที่กรุงเทพ แต่แล้วก็อยู่ไม่ได้ต้องกลับมาอยู่กับน้าน้อยเหมือนเดิม
ลุงหม่อมที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนกรุงเทพ แต่ก็ได้อยู่ที่ถิ่นนี้มานานมากแล้ว
เมื่อลูกสาวพาไปอยู่ที่กรุงเทพด้วยก็อยู่ไม่ได้ต้องกลับมาตายที่ถิ่นนี้อยู่ดี
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือใจของน้าพรที่ยังคงปรารถนาในน้าน้อยอยู่เหมือนเดิม
ทั้ง ๆ ที่เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้แต่น้าพรก็ไม่สามารถเลิกรักน้าน้อยได้
อันนี้แสดงเห็นความปรารถนาของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ต่อให้น้าน้อยจะมีสามีมีลูกมากแค่ไหน น้าพรก็ยังต้องการ
ต่อให้น้าพรจะไปมีสาวอื่นกี่คน ๆ ก็เจอแต่คนไม่ดี ไม่มีใครที่น้าพรต้องการมากกว่าน้าน้อยอีกแล้ว
สังคมแบบคนเมืองชอบมองว่าสังคมแบบชนบทเป็นสังคมที่มีปัญหาต้องการได้รับความพัฒนา
แต่ในความเป็นจริงในเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า
ตัวสังคมเมืองเองเนี้ยแหละที่เป็นตัวปัญหาเสียเอง
เพราะชีวิตก่อนหน้านี้มีความสุขดีอยู่แล้ว มีเพื่อนบ้านที่แบ่งปันเอื้ออาทรกัน
แต่พอเป็นสังคมเมืองมีแต่คนเห็นแก่ตัว ต่างคิดแค่เรื่องเงินเรื่องกำไร
โดยไม่มีความอาทรให้กันเหมือนในสมัยก่อน ยิ่งพัฒนามีแต่ยิ่งทำลาย
ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปเรื่อย ๆ
อ้างอิง
วัฒน์
วรรลยางกูร.ฉากและชีวิต.กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ไรท์เตอร์,2558