นางสาวรติรัตน์ ปานฤทธิ์
วิเคราะห์ขั้นตอนของการวิจารณ์เรื่อง
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่นิราศแรมรสร้าง
เริ่มแรกผู้วิจารณ์นั้นได้วิเคราะห์ความเหมาะสมของชื่อเรื่องก่อน
ซึ่งผู้วิจารณ์ได้บอกว่าชื่อกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนั้นยังไม่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของเรื่องนี้
เพราะกวีไม่ได้ตั้งใจจะแต่งแค่เรื่องของอาหารแต่กวีตั้งใจกล่าวถึงนางอันเป็นที่รักผ่านเรื่องราวทางอาหาร ผู้วิจารณ์นั้นจึงเสนอชื่อใหม่ว่า
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่นิราศแรมรสร้าง
ซึ่งชื่อนี้จะเหมานแก่การครอบคลุมเนื้อหาในเรื่องนี้มากกว่า ต่อมาได้มีการนำตัวบทที่มีผู้เขียนไว้ด้วยลายมือทั้ง
5 ฉบับ ของแต่ละสมัย
นำมาเปรียบเทียบกันเพื่อให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ที่สุดในการวิจารณ์ต่อไป
เมื่อได้เนื้อหาที่สมบูรณ์แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับฉบับพิมพ์
ซึ่งทั้งเนื้อหาฉบับเขียนและฉบับพิมพ์นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งถ้าฉบับพิมพ์นั้นน่าจะดูฉบับเขียนเป็นต้นแบบจะเกิดเนื้อหาที่ชัดเจนกว่านี้
มีการศึกษาการแต่งชื่อเรื่องของแต่ละตอน
ซึ่งพบว่าฉบับที่เขียนของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้นไม่ได้มีชื่อของแต่ละตอนเหมือนฉบับพิมพ์
สันนิฐานได้ว่าฉบับพิมพ์นั้นมีการเพิ่มชื่อตอนขึ้นมาเอง
การตั้งซื้อตอนของแต่ละตอนทำให้เห็นเนื้อหาของกวีที่ซื่อได้ไม่ชัดเจน
อาจทำให้สิ่งที่กวีจะสื่อนั้นผิดเพี้ยนไปเพราะเกิดการเข้าใจผิดเพราะชื่อเรื่อง จึงจะมองเห็นแค่เรื่องของอาหาร
เรื่องความสามารถของกวีที่กว่าชื่นชมอาหารแต่ละชนิดต่าง ๆ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าบทเห่ไม่มีเป็นเนื้อหาเดียวกันนั้น เพราะบทที่1-3 นั้นกล่าวถึงเรื่องอาหาร
และบทที่4-5 นั้นกว่าเรื่องวันนักขัตฤกษ์และแห่เจ้าเซ็น ซึ่งจริงๆแล้วเนื้อหาทั้งหมดนั้นเชื่อมต่อกัน
เพราะเป็นการกล่าวถึงนางอันเป็นที่รักของกวี
มีการดูรูปแบบว่าเลือกประเภทได้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือไม่
ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเภทกาพย์เห่นั้นมีความเหมาะสนมกับเนื้อหา
มีการนำโคลงตั้งก่อนแล้วจึงตามมาด้วยกาพย์
ซึ่งคำโคลงที่ตั้งนั้นมีการนำคำนั้นมาแต่งให้ซ้ำกับกาพย์บางวรรคซึ่งทำให้เนื้อหานั้นดูมีความไพเราะมากขึ้น
มีการเล่นสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร มีการเล่นคำซ้ำ
และยังมีการเล่นกลับคำเพื่อให้เกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้น มีการนำกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานไปเปรียบเทียบกับกาพย์เห่ของบทประพันธ์เล่มก่อน
ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกัน
เพราะมีการพรรณนาถึงนางอันเป็นที่รัก บอกถึงความอาลัยอาวรณ์ที่ต้องพรากจากนาง และความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพียงแต่ในเรื่องกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนั้น
กวีได้ใช้ชื่ออาหารในการกล่าวขึ้นก่อน
แล้วจึงตามมาด้วยรสชาติของอาหารชนิดนั้น
ส่วนประกอบสำคัญในการปรุง
รูปลักษณ์ของอาหาร ของที่กินคู่กับอาหารชนิดนั้นแล้วจึงตามมาด้วยความคิดถึงนางที่ทรงรัก
ทำให้เห็นว่าผู้กวีนั้นมีการวางโครงเรื่องไว้อย่างดี เริ่มจากความรู้สึกที่คิดถึง โหยหา
และหนักที่สุด ก็ถึงตรงตอนสุดท้ายคือตอนแห่เจ้าเซ็น
ที่คนในพิธีกรรมนั้นจะแสดงความรักต่อเจ้าเซ็นก็คือ การทุบอก
เพื่อเป็นการระบายความรู้สึก
ซึ่งกวีสื่อออกมาที่เอามือลูบอุระ
เพราะกวีไม่มีแรงที่จะทุบอกได้แบบคนในพิธีกรรม กวีจึงนำมือลูบอกแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความทุกข์นั้นเบาบางลงไปเลย
กวีจึงตีความหมายได้ว่า
ความทุกข์ของตนนั้นหนักหนากว่าแห่เจ้าเซ็น
รูปแบบการประพันธ์
เนื้อหา
และกลวิธีในการแต่งนั้นแสดงถึงความเป็นเอกภาพในการแต่งเห็นได้จากการใช้คำที่สื่อความหมายได้ตรงกับสิ่งที่กวีต้องการจะสื่อ ทั้งมีการสื่อทางตรง
และการสื่อโดยใช้คำแฝงในการประพันธ์
ในด้านเนื้อหานั้นยังแสดงความเปรียบให้เห็นได้ว่าความรักของกวีนั้นแปลเปลี่ยนไป
โดยแทรกไว้ในบทเห่เครื่องคาวและในบทเห่เครื่องหวาน
และยังกล่าวถึงความรักของกวีกับนางที่ทรงปิดซ่อนเร้นไว้ถึงสองปี
จากตอนแรกที่มีความสุขกันดีที่ได้อยู่ใกล้กับนางก็เริ่มแปลเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ กวีเริ่มมีความทุกข์มากขึ้น ๆ ตั้งแต่ที่นางเริ่มจากไป เห็นได้จาก
วรรคที่พูดถึงความรักของวรรคนี้ “ความรักยักเปลี่ยนท่า
ทำน้ำยาอย่างแกงขม”
ซึ่งทำให้เห็นความรักที่แปลเปลี่ยนไป จากความสุขกลายเป็นความทุก และยังมีการสอดแทรกเนื้อหาที่กวีแต่งให้เห็นว่า
นางจากไปเพราะความจำเป็น และนางก็อาลัยอาวรณ์และทุกไม่ต่างจากกวีเช่นกัน
เห็นได้จาก จากลอยแก้ว ที่นางนั้นส่งมาให้กวีแสดงถึงความทุกข์ของนางที่ต้องจากไปเพราะความจำเป็น
เมื่อศึกษาเนื้อหาแต่ละบทอย่างละเอียดทำให้เห็นอารมณ์ของกวีย่างชัดเจน
เช่น บทเห่ชมเครื่องคาว
ทำให้เห็นว่ากวีทรงคิดถึงนางและความผูกพันระหว่างกวีกับนาง
กวีทรงคิดถึงรูปโฉมของนาง
ความสามารถของนางในการคิดสูตรอาหาร ปรุงอาหาร และจัดอาหารได้อย่างสวยงาม คุณสมบัติของนาง ข้างของเครื่องใช้ของนาง และรูปลักษณ์ของอาหารที่ทำให้กวีทรงคิดถึงห้องหอ
และยังมีเนื้อหาที่แสดงความมีน้ำใจของนาง เห็นได้ว่า นางยังแอบส่งของมาให้กวีอยู่เสอม ทั้งหมาก
ทั้งบุหรี่ ที่ส่งให้กวีอยู่มิได้ขาด
ความประสานกลมกลืนกันระหว่างเนื้อหากับภาษานั้น
ทรงใช้ภาษาหลากหลายอันเป็นถ้อยคำที่สื่อความหมายของการพลัดพราก
ความคิดถึงนางและความโศกเศร้าเพราะความพลัดพรากจากนาง ทำให้เนื้อหากับภาษาที่ทรงใช้สอดคล้องกันได้ดียิ่งขึ้น
ผู้วิจารณ์นั้นยังได้นำประวัติของกวีมาศึกษา
ซึ่งทำให้เห็นว่าเรื่องที่กวีทรงนิพนธ์นั้นเป็นเรื่องจริง เหตุเกิดเพราะ
กวีนั้นทรงแอบรักกับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด
ในขณะที่กวีนั้นทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อกวีถูกจับได้
ก็ทรงโดนทำโทษโดยการพาสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าบุญรอด
ไปประทับที่วังของกลมหลวงเทพหริรักษ์
ทั้งสองพระองค์ได้พลัดพรากจากกันทั้งหมดเป็นเวลา 3 เดือน สาเหตุที่ทรงนิพนธ์รูปแบบกาพย์เห่เพราะ
น่าจะทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงเลียนแบบกาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรที่ทรงพระนิพนธ์เพื่อทรงระบายความรู้สึกส่วนพระองค์
คือ
ความทุกข์และความโศกเศร้าที่อัดอั้นอยู่ในพระทัยด้วยความคิดถึงและความอาลัย
และยังมีการศึกษาลักษณะและประเภทของวรรณคดีนิราศ
ทำให้เห็นได้ว่ากาพย์เห่เรื่องนี้ยังมีคุณสมบัติของการเป็นนิราศด้วย ซึ่งผู้วิจารณ์ทำให้เห็นว่าการอ่านแบบนิราศนั้นทำให้เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น
จึงกล่าวได้เป็นเรื่องที่มีความเป็นนิราศอยู่ด้วย
บทประพันธ์เรื่องนี้มีคุณค่าทั้งด้านวรรณคดีและวรรณศิลป์ รวมทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรม
คุณค่าด้านวรรณคดีก็คือ
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นกาพย์เห่นิราศที่มีคุณค่ามากในวงการวรรณคดี
และเป็นต้นแบบให้กับการแต่งกาพย์เห่บางบทในสมัยหลังต่อมา คุณค่าด้านวรรณศิลป์มีทั้งด้านภาษา
มีการใช้คำที่ไพเราะและมีการเพิ่มคำไพเราะด้านเสียง ด้านเนื้อหา และ
กลวิธีในการแต่งก็คือ มีกลวิธีในการแต่งที่ล้ำเลิศสามารถนำเสนอเรื่องที่ต้องการได้อย่างน่าสนใจและน่ายกย่อง
ด้านสังคมทำให้เห็นคนหลายเชื้อชาติที่มีการเข้ามาในไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
ซึ่งซื้อให้เห็นได้ทั้งการแต่งตัว และอาหาร ด้านวัฒนธรรมจะเห็นว่า
คนไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์รับเอาวัฒนธรรมประเพณีของชาติต่าง ๆ
เข้ามาปะปนในวัฒนธรรมและประเพณี
ทำให้เห็นว่าผู้วิจารณ์นั้นมีความละเอียดมาก
และมีความเป็นขั้นเป็นตอนในการวิจารณ์
คือ นำจากส่วนต้น ๆ
แล้วค่อยเข้าไปสู่กลางเรื่อง
ซึ่งเห็นได้จาก เริ่มแรกมีการวิจารณ์เรื่องชื่อเรื่องก่อน แล้วจึงตามมาด้วยซื้อตอนของแต่ละตอน รูปแบบคำประพันธ์ เนื้อหา กลวิธีในการแต่ง
และยังตามด้วยคุณค่าทางด้านภาษา วรรณศิลป์
สังคมและวัฒนธรรม
อ้างอิง
ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต.กาพย์เห่ชมเครื่องคราวหวาน
กาพย์เห่นิราศแรมรสร้าง.กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2553