วิเคราะห์เรื่อง
เนรเทศ ของ ภู กระดาษ
เรื่องเนรเทศเป็นเรื่องของการเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
แต่ว่าเสียเวลากับการรอรถอยู่เกือบทั้งวัน จนจบเรื่องก็ยังไม่ถึงบ้าน
การคมนาคมที่มีความล่าช้าแบบนี้กลับกลายเป็นความเคยชินของสังคมไปแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราไม่ควรที่จะชินชากับเรื่องแบบนี้
เพราะนี้มันคือการไม่ได้มาตรฐานในคุณภาพในการใช้ชีวิตที่ต้องมาเสียเวลาไปกับการคมนาคมทางบก
ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นกับสังคมเมืองที่บอกว่าตนได้พัฒนาแล้ว
ก็ไม่ต่างอะไรกับการเมืองไทยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
เหมือนเป็นสูตรสำเร็จไปแล้ว คือทำอะไรไปก็วนกลับมาที่เดิม
การเกิดรัฐประหารก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ควรเพิกเฉยได้
เพราะว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของสังคม
แต่ว่ากลับกลายเป็นความเคยชินของคนในสังคมไปเสียแล้วที่จะเกิดรัฐประหารบ่อย ๆ
ในประเทศนี้
ทฤษฎีหลังอาณานิคมทำให้เห็นอำนาจบางอย่างที่มีอยู่ในเรื่อง
จะเห็นได้ว่ากรุงเทพคือศูนย์รวมของทุกสิ่ง กรุงเทพคือศูนย์กลางใหญ่
คนต่างจังหวัดต้องเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพ โดยที่การคมนาคมก็ไม่ได้คุณภาพ
ไม่ได้ความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ทั้งผู้คนที่แออัด และการที่ต้องใช้เวลานานในการรอรถ
แถมไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องเสียเงินไป
การที่คนเหล่านี้ยังใช้บริการแบบเดิมอยู่เพราะว่าก็ไม่มีทางเลือกให้มากนักในการที่จะต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
เหตุที่ทำให้กรุงเทพเป็นศูนย์รวมใหญ่ของผู้คนนั้นเพราะว่า
ประชาชนถูกปลูกฝังว่ากรุงเทพศูนย์กลางรวมแห่งความสะดวกสบาย อยู่ในเมืองกรุง
มีงานทำและรายได้ดีกว่าทำงานที่ต่างจังหวัด
แต่ความจริงแล้วกรุงเทพไม่ได้ดีขนาดนั้น ทั้งรถติด ฝุ่นเยอะ สภาพอากาศเป็นมลพิษ
แต่คนก็เลือกที่จะมาเพราะการที่ได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพเป็นค่านิยมของตนต่างจังหวัดเหมือนเป็นการยกระดับไปในตัวเมื่อต้องเดินทางกลับไปที่บ้านต่างจังหวัดแต่ละครั้ง
การที่คนต่างจังหวัดเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพทำให้ได้รับค่านิยมบางอย่างของความเป็นกรุงเทพติดตัวไปด้วย
ทำให้เวลากลับบ้านต่างจังหวัดก็ทำให้เกิดการมองว่าทำไมที่นี้ถึงไม่เจริญ โดยเอาไปเปรียบกับกรุงเทพ
เมื่ออยู่บ้านที่ต่างจังหวัดก็ไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนสมัยก่อนที่จะไปอยู่กรุงเทพ
แต่เมื่อไปอยู่กรุงเทพก็กลับเป็นคนไม่เหมือนกรุงเทพอีก
กลายเป็นว่าเป็นคนที่รู้สึกแปลกแยกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยเป็นของตนเอง ทำให้เกิดความรู้สึกไปไม่สุดและก็กลับไม่ได้
หลังอาณานิคมมันพยายามที่จะสร้างอัตลักษณ์ให้กับสิ่งอื่น
ๆ เช่นการที่คนกรุงเทพมองว่าคนอีสานโง่
อันนี้ก็เป็นทำให้เกิดภาพจำบางอย่างจากสิ่งรอบ ๆ ตัว
เช่นในหนังที่มักจะมีคนใช้เป็นคนอีสาน มันคือการสร้างภาพแทนซ้ำ ๆ ทำให้คนจำ
แต่ในความเป็นจริงแล้วคนอีสานก็ไม่ได้โง่เหมือนที่คนกรุงเทพนิยามให้เสมอไป
และยังมีการสร้างอัตลักษณ์ให้กับกลุ่มรักร่วมเพศ
ที่มีสังคมกำหนดอัตลักษณ์ให้คนกลุ่มนี้ว่าเป็นคนตลก
แต่ว่าแทนที่จะเกิดการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง
กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านี้กับให้การยอมรับกับคำนิยามเหล่านี้แทน คนอีสานเมื่อเขามาในกรุงเทพนาน
ๆ จะทำให้สำเนียงในการพูดภาษาถิ่นของตนเองเปลี่ยนไป คือมีความเป็นอื่น ไม่เป็นลาว
และก็ไม่เป็นภาษากลาง
หลังอาณานิคมเท่ากับว่าได้มีการล่าอาณาจักรสำเร็จแล้ว
ถึงจะจบการล่าไปแล้วแต่ก็มีบางอย่างปลูกฝังให้เห็นว่าอำนาจของผู้ล่ายังอยู่ หลังการปกครองของพวกล่าอาณานิคมมันได้สร้างความคิด
ความรู้บางอย่างให้กับคนในอาณานิคม มันจึงเป็นการสร้างอัตลักษณ์
ในโลกตะวันตกจักรวัติเป็นการขยายดินแดน
จักรวัตินิยมคือได้มาโดยจากการล่าดินแดนที่อยู่ห่างไกล เช่นสงครามโลก
เจ้าอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดคืออังกฤษ ในศตวรรษที่ 18 การรู้แจ้งเป็นการเกิดขึ้นหลังยุคมืด
ยุคมืดคือยุคที่มืดบอดจากความรู้ เต็มไปด้วยความเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นใหญ่
แต่ยุครู้แจ้งได้ไปอธิบายโลกด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ได้ไปลดทอนอำนาจของศาสนาลงไป
เพราะวิทยาศาสตร์นั้นเป็นยุคที่มีเหตุมีผลทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้
หลังอาณานิคมเรานิยามว่า
มันเกิดการย้อนแย้งของการพัฒนาอะไรก็ตามที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น
มันเกี่ยวกับการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ ต้องดูว่าเจ้าของอาณานิคมนั้นคือใคร
การล่าอาณานิคมนั้นไม่เพียงแต่จะครอบครองแค่ดินแดน
แต่มันยังรวมไปถึงการครอบครองภายในจิตใจด้วย
ในหนังสือเล่มนี้พยายามจะต่อต้านอำนาจแบบอาณานิคมของกรุงเทพ
ดูได้จากการใช้ ค.ศ. ในการเล่าเรื่อง เพราะในสังคมไทยนั้นใช้ พ.ศ.
และดูจากภาษาที่ผู้เขียนใช้มันมีการใช้ภาษาแบบกลาง ๆ ลาวไม่สุด และ
ก็ไม่เหมือนกลาง
มันเป็นการตอบโต้แต่ในขณะเดียวกันมันก็เกิดความย้อนแย้งในตัวของมันเอง
และยังมีการต่อต้านการตั้งกรุงเทพเป็นศูนย์กลาง ตัวละครนั้นได้บอกว่าตนคือคนลาว
ไม่ใช้คำว่าอีสานในแบบที่คนกรุงเทพใช้
เพราะคำว่าอีสานนั้นเป็นการตั้งขึ้นเพราะวัดจากกรุงเทพเป็นศูนย์กลางในการนิยาม
ซึ่งคำว่าอีสานนั้นมันทำให้เกิดความเป็นอื่นมากกว่าเป็นการยอมรับการมีอยู่ของคนในภาคนี้
ทำให้คนในภูมิภาคนี้มีนความเป็นชายขอบ คือไม่มีพื้นที่ในสังคม กรุงเทพมันพยายามที่จะเข้าไปจัดการพื้นที่ต่าง
ๆ ของพื้นที่ในต่างจังหวัด
และกรุงเทพได้สร้างอัตลักษณ์ของตนเองโดยมองคนต่างจังหวัดว่าเป็นคนที่บ้านป่าเมืองเถื่อนแต่ว่าเชื่อง