วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตีความ ชื่อบทกวี “ทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ “มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์



ชื่อบทกวี “ทน” ในกาพย์กลอนแห่งอารมณ์ มิเหมือนแม้นอันใดเลย” โดย ชมจันทร์

ตีความ

                บทกลอนนี้ทำให้เห็นว่าบางทีคนนั้นก็มักจะมองคนในแบบที่ไม่ใช่คน   ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คนหนึ่งมองว่าตัวเองคือคน แต่มองว่าอีกฝ่ายนั้นเหมือนเครื่องจักรที่ต้องทำงานอย่างหนักโดยไม่มีความผิดพลาด ไม่ต้องหยุดไม่ต้องพัก หรือแม้กระทั้งความรู้สึกใด ๆ ก็ตาม  

                ฉันคิดว่าในบทกลอนนี้เราสามารถมองมันได้ทั้งช่วงชีวิตในวัยเรียนและช่วงชีวิตในวัยทำงาน   เพราะว่าคนเรามีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น   หวังเอาความสบายมากกว่าการทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ  เช่น   ถ้าเกิดว่ามองในมุมของวัยเรียน   ก็จะมีคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเป็นคนที่แบกรับงานทุกอย่างไว้   โดยที่มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หวังผลกับการทำงานของเรา  โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากนัก  แต่เขาก็ได้คะแนนเท่าเรา   และถ้ามองในมุมวัยทำงาน  บางคนอาจจะเจอรุ่นพี่ที่ไม่ดี  หรือหัวหน้าที่ไม่ดี  ในการที่ใช้งานและกดขี่เราให้ทำงานอย่างหนัก   ซึ่งถ้าเป็นงานของตัวเองโดยแท้จริง เราก็สบายใจที่จะทำมันอย่างเต็มที่  แต่หากว่างานนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องทำ   เราก็คงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เมื่อเราโดนเขากดขี่แบบนั้นบ่อย ๆ เพราะว่าเราก็เป็นมนุษย์ทั่วไปสามัญ ที่ต้องการวันหยุดพักบ้าง ต้องการทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่และดีที่สุด   เราทำงานเพื่อแลกกับเงินที่เราควรจะได้รับตามความสามารถของเรา  แต่เรากลับต้องมาโดนใช้งานโดยที่ไม่ได้รับมอบหมายให้ทำ   ในขณะที่เรามีความรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานที่เราทำ เราก็อยากที่จะมีเวลาผ่อนคลายเพื่อกลับเข้ามาลุยงานของเราต่อไป   เพราะว่าคนทุกคนต้องการที่จะหาความสุขใส่ตัวบ้าง   ไม่ว่าใครก็อยากมีเวลาส่วนตัวกันทั้งนั้น   และอีกอย่างที่สำคัญคือ มันดูจะไม่ยุติธรรมเลย  ถ้าการที่เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนอีกหนึ่งคนสบาย   โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

                ฉันคิดว่าคงไม่มีใครที่อยากโดนเอาเปรียบและคงไม่มีใครที่สามารถจะทนกับสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดเวลา   ตอนแรกก็อาจจะทนได้ แต่เมื่อโดนนาน ๆ เข้า จนแทบจะไม่มีเวลาพักหายใจเลย  มันก็คงจะต้องระเบิดออกมาสักวันหนึ่ง   แต่ถ้าเราอยากจะแสดงความมีน้ำใจในการช่วยงานเขาก็ได้ แต่ว่าก็ไม่ใช่ทุกครั้งเสมอไป   ไม่มีใครที่อยากโดนเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา  มันคงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าเกิดมีใครมองข้ามความรู้สึกของเราไป  และคิดว่าเรานั้นเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่ทำงานตามระบบโดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ ถ้าเกิดจะมองแบบนั้นก็อาจจะไม่ถูกทั้งหมด  เพราะขนาดเครื่องจักรเมื่อโดนใช้ไปนาน ๆมันยังสึกยังกร่อนได้  แล้วนับประสาอะไรกับคนเราที่มีชีวิตจิตใจที่จะอยู่ยงคงกระพัน   โดยที่ไม่ต้องบำรุงรักษาร่างกายและจิตใจเลย