วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ตีความ บทกวี “สุสานทราย” ในกวีนิพนธ์แห่งชีวิต “ใบไม้ที่หายไป” โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา




บทกวีบทนี้ทำให้เห็นถึงบรรยากาศของทะเลทรายอันแห้งแล้งที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องจนแทบจะหมดแรงในการเดินต่อไป คนทุกคนที่เดินในเส้นทางแห่งนี้ต่างหวังจะเดินทางไปให้ถึงจุดหมายดั่งที่ตั้งใจไว้ 


โดยไม่รู้ว่าเราจะหลอมละลายไปกับทะเลทรายแห่งนี้ก่อนหรือไม่ แต่เพราะมีความหวังจึงทำให้เลือกที่จะก้าวเดินต่อไป และแน่นอนว่าชีวิตมักเล่นตลก เมื่อคนเราเหนื่อยถึงขีดสุด และใกล้ที่จะสิ้นหวัง เรามักจะสร้างภาพที่เราอยากเห็นที่สุดขึ้นมา ณ ตอนนั้น และภาพที่ปรากฎขึ้นให้เห็นในบทกวีนี้ก็คือ ภาพของทุ่งหญ้าและธารน้ำใส ที่สามารถทำให้เรามีชีวิตรอดต่อไปได้


เมื่อเห็นดังนั้นเราจึงออกวิ่งสุดแรงเพื่อให้ไปถึงแหล่งน้ำตรงนั้นเร็วที่สุด แต่เมื่อวิ่งเร็วเท่าไหร่ แรงแค่ไหนก็ไม่อาจไปได้ถึงที่แห่งนั้นสักที มีแต่เราที่หมดแรงลงอย่างเรื่อยๆ และหมดแรงตายอยู่ในที่แห่งนี้ในที่สุด 


ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการที่คนเราขาดสติ ขาดความยั้งคิดชั่งใจ หากเรามีสติมากกว่า ไม่หลงไปกับภาพมายาที่สร้างขึ้น และอยู่กับความเป็นจริง เราอาจจะไม่มาจบชีวิตลงอยู่ที่ท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ก็เป็นได้ 


แน่นอนว่าในชีวิตจริงเราอาจไม่ได้มาเดินอยู่ในทะเลทรายแบบนี้ แต่หลายคนก็หลงผิดเดินไปในเส้นทางผิดๆ เมื่อชีวิตอยู่ในช่วงที่ตกต่ำ เช่นพวกสิ่งอบายมุข หรือสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพราะคิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้มีชีวิตรอดต่อไปในวันพรุุ่งนี้ได้ แต่เมื่อได้เข้ามาในโลกแห่งนั้นจริงๆ ทุกอย่างไม่ได้สวยหรู และดีอย่างที่คิด ชีวิตแทบไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น หรือใครที่คิดจะออกจากงานเหล่านี้ หรือหยุดทำเมื่อไหร่ ทุกคนล้วนแต่ต้องจบชีวิตลงอยู่ ณ ที่แห่งนี้เสมอ

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ตีความ บทกวี “ดอกไม้จะบาน” ในกวีนิพนธ์แห่งชีวิต “ใบไม้ที่หายไป” โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา

 




กวีบทนี้ในตอนต้นได้กล่าวถึงดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบาน แต่เมื่ออ่านมาอีกบรรทัดเราจะรู้ว่าบทความนี้ไม่ได้พูดดอกไม้ที่กำลังผลิบานอยู่จริงๆ แต่เป็นการพูดถึงความกล้าหาญที่บริสุทธิ์ใจ จึงทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ผลิบานเหมือนดอกไม้  


ซึ่งบทกวีบทนี้ได้มีการพูดถึงเหล่านักศึกษาที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำความรู้ที่ได้เรียนมาใช้ต่อกร ต่อสู้กับเหล่าคนที่คิดจะเอาเปรียบประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีความรู้ 

จึงแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ของกลุ่มหนุ่มสาวที่ต้องการทำเพื่อผลประโยชน์ของเหล่าประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่างๆ  ทำให้ผู้เขียนได้มองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงปีพ.ศ. 2516 ที่เหล่านักศึกษาได้ทำการประติวัตร เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย แม้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ต้องแลกกับอะไรทุกคนพร้อมอุทิตตนเพื่อสิ่งนี้

แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทุกคนต่างทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ มีจิตศรัทธา มีแนวทาง และเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าเราจะได้รับความเป็นธรรมกลับมาในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ความสำเร็จอาจไม่ได้สำเร็จภายในตอนนี้ แต่ทุกคนยังคงเชื่อมั่นว่า ความตั้งใจที่แน่วแน่ของพวกเขาในครั้งนี้ จะทำให้มันสำเร็จได้ในสักวัน และเมื่อไหร่ที่มันสำเร็จสิ่งเหล่านี้จะส่งผลดีกับเหล่าคนไทยในทั่วทุกพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน