ชื่อบทกวี “เป้า” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ตีความ
ภาพแรกที่เห็นคืองานวัด เด็กเล่นเกมยิงปืนที่งานวัด
เมื่อยิงโดนเป้าเขาก็หัวเราะชอบใจที่มีเสียงร้องตอบกลับมาเมื่อยิงโดน จนได้เวลากลับบ้าน เมื่อเด็กคนนั้นเข้านอนก็นอนละเมอส่งเสียงรัวปืนอยู่ในความฝัน แล้วตะโกนร้องว่ามึงตายมึงตาย พ่อของเด็กตกใจตื่นขึ้น จึงรีบสำรวจปืนที่อยู่ใต้หมอน
เมื่อรู้ว่าปืนยังอยู่ใต้หมอนเหมือนเดิมพ่อของเด็กก็รู้สึกโล่งใจที่มันไม่ใช่เรื่องจริง
จะเห็นได้ว่าเด็กนั้นมีจิตสำนึกเกี่ยวกับเรื่องการใช้ความรุนแรง เพื่อตอบสนองอารมณ์ของตนเอง เห็นได้จากเด็กคนนี้จะหัวเราะชอบใจทุกครั้งที่เขานั้นยิงโดนเป้า
แล้วมีเสียงร้องตอบกลับมา
เมื่อยามฝันเขาก็ฝันเรื่องที่เกี่ยวกับการยิงปืน และตะโกนออกมาว่า มึงตาย มึงตาย อันนี้เป็นการบอกได้ว่า
เด็กในเรื่องเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องสนุก และเขาจะรู้สึกสะใจทุกครั้งเมื่อได้ใช้ความรุนแรง
เพราะว่าเด็กคนนี้ได้เห็นความรุนแรงเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันเลย
มันจึงทำให้เราเห็นว่า ในสังคมนั้นกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มีแต่ความรุนแรง เสื่อมโทรมลง คนเลือกที่จะใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ มากกว่าการใช้สติไตร่ตรองในการแก้ปัญหามากกว่า ผู้ใหญ่อาจจะสอนเด็กผิด ๆ หรือว่าอาจจะเกิดจากสิ่งรอบ ๆ ตัวที่ใช้แต่ความรุนแรง อาจจะทั้งละครก็มีส่วนส่งผลต่อจินตนาการของเด็กได้ และอาจจะเพราะว่าผู้ใหญ่ไม่เคยที่จะสอนเด็กให้ตะหนักถึงความรุนแรงเหล่านี้ไปในทางที่ถูกต้อง ไม่สอนให้เด็กใช้สติในการแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่กลับปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เอง ถ้ายิ่งปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นนั้นที่มันความรุนแรงอยู่ในจิตสำนึกแล้ว มันจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขเลยในอนาคต และสุดท้ายทุกปัญหาที่เกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังในการยุติปัญหา ซึ่งมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีและมันไม่มีทางที่จะยุติปัญหาได้จริง
มันจึงทำให้เราเห็นว่า ในสังคมนั้นกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มีแต่ความรุนแรง เสื่อมโทรมลง คนเลือกที่จะใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ มากกว่าการใช้สติไตร่ตรองในการแก้ปัญหามากกว่า ผู้ใหญ่อาจจะสอนเด็กผิด ๆ หรือว่าอาจจะเกิดจากสิ่งรอบ ๆ ตัวที่ใช้แต่ความรุนแรง อาจจะทั้งละครก็มีส่วนส่งผลต่อจินตนาการของเด็กได้ และอาจจะเพราะว่าผู้ใหญ่ไม่เคยที่จะสอนเด็กให้ตะหนักถึงความรุนแรงเหล่านี้ไปในทางที่ถูกต้อง ไม่สอนให้เด็กใช้สติในการแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่กลับปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เอง ถ้ายิ่งปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นนั้นที่มันความรุนแรงอยู่ในจิตสำนึกแล้ว มันจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขเลยในอนาคต และสุดท้ายทุกปัญหาที่เกิดขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังในการยุติปัญหา ซึ่งมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีและมันไม่มีทางที่จะยุติปัญหาได้จริง