ชื่อบทกวี “หาบน้ำ” ในรวมบทกวี “มือนั้นสีขาว” โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ตีความ
บทนี้ทำให้เราเห็นได้สองภาพ
มีตัวละครสองตัวคือหญิงสาวคนที่หนึ่ง และคนที่สองทั้งสองทำการหาบน้ำเหมือนกัน
แต่ว่าวิธีการหาบนั้นแตกต่างกัน
เราจึงเห็นภาพเปรียบเทียบได้ชัดเจน
คนที่หนึ่งนั้น หาบน้ำแบบผ่อนคลายสบาย ๆ
ไม่ฝืนและไม่ขืนตัวเอาไว้เพื่อแบกรับน้ำหนักของคาน ปล่อยไปตามสบายค่อย ๆ ทำไม่เร่งรีบ
ปล่อยไปตามธรรมชาติรู้จักทำให้ตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับไม้คานได้ โดยไม่ต้องฝืนใช้แรงโดยเกินกำลัง จึงไม่ลำบากเท่าคนท่าคนที่สองที่ใช้แรงอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรับน้ำหนักของไม้คานได้ โดยไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาใช้แต่แรง จึงทำให้น้ำในหาบหกและหนักเกินกว่าที่จะทนได้
มันทำให้เห็นว่า
คนเรานั้นถ้าเกิดว่าใช้แต่กำลัง แต่ไม่ใช้สมองในการคิดหาทางออกที่จะทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นให้บรรลุเป้าหมายไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้แรงเกินกำลังของตน
และไม่ฝืนตนเองมากเกินไป การที่เรายิ่งฝืนตัวเองมากเท่าไหร่
เราก็ยิ่งแบกรับมันไม่ไหว เพราะมันจะหนักเกินกว่าที่เราจะรับได้ แต่ถ้าหากว่า เราปล่อยใจไปตามสบาย ๆ
ไม่ฝืนตัวเอง ไม่ฝืนทั้งกายและใจ ทำใจยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ เราก็สามารถที่จะเดินไปข้างหน้า
และบรรลุเป้าหมายได้โดยที่เราไม่เหนื่อยและไม่หนักมากจนเกินกำลังของเรา
ฉันคิดว่ามันก็เหมือนกับชีวิตของคนเรา คนเราต่างแบกรับอะไรมามากมายในชีวิต
ถ้าเราปล่อยวาง ทำตามที่มันเป็นไปด้วยความเต็มใจ ยอมรับกับปัญหาเหล่านั้นได้
และพร้อมจะประคับประคองจะเดินหน้าไปกับมัน โดยที่เราไม่ต้องฝืนตัวเองให้เหนื่อยให้ท้อหนักเกินกว่าจะรับไหว เราก็จะสำเร็จได้เร็วเหมือนดังคนแรก แต่ถ้าเราทำอย่างคนที่สอง ที่พยายามใช้แรงที่มีอยู่มากจนเกินไป โดยที่ไม่คิดที่จะปล่อยวางตัวสบาย
ๆ แล้วเดินไปพร้อมกับหาบ แต่เลือกที่จะฝืนแบกมันไว้ และขืนตัวไว้เพื่อให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการ แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งเราฝืนมากเท่าไหร่
ผลที่สำเร็จนั้นก็จะช้าและหนักหนาจนอาจจะทำให้เราท้อและหมดพลังที่จะทำมันให้สำเร็จได้